This is default featured slide 1 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 2 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 3 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 4 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 5 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

วิดีโอแนะนำคณะวิทยาลัยการเมืองการปกครอง

ป้ายกำกับ: 0 ความคิดเห็น

แนะนำคณะวิทยาลัยการเมืองการปกครอง

ป้ายกำกับ: 0 ความคิดเห็น

ปรัชญา

ผู้มีปัญญา พึงเป็นอยู่เพื่อมหาชน (พหูนํ ปณฺฑิโต ชีเว)


> ปณิธาน

บัณฑิตวิทยาลัยการเมืองการปกครองต้องเป็น ผู้รอบรู้ คิดเป็น ทำเป็น
 เรียนรู้ได้ด้วยตนเอง และบริการทางวิชาการสู่สังคม


> วิสัยทัศน์

มุ่งสู่การเป็นแหล่งเรียนรู้ชั้นนำทั้งในระดับภาค ระดับชาติ
 และระดับนานาชาติทางรัฐศาสตร์ นิติศาสตร์
กระบวนการยุติธรรม และสาขาอื่นที่เกี่ยวข้อง


> ค่านิยมร่วมองค์กร (Shared Values)

C - Creativity ความคิดสร้างสรรค์
O - Optimization ความมีประโยชน์คุ้มค่า
P - Prestige ความมีเกียรติภูมิ
A - Ability ความสามารถ
G - Generosity ความมีน้ำใจ

มหาวิทยาลัยมาหาสารคาม

ป้ายกำกับ: 0 ความคิดเห็น

ป้ายกำกับ: 0 ความคิดเห็น

รอยเท้าที่ยาวไกล
เมื่อมองกลับไป
บ่งบอกได้ในผลงาน
บางรอยอาจมีชำรุด
เพราะสะดุด จุดขวากหนาม
ฟันฝ่าจนรอยงาม
เก็บเป็นนิยามของความภูมิใจ

ป้ายกำกับ: 0 ความคิดเห็น


สตรีใด ไหนเล่า เท่าเธอนี้
เป็นผู้ที่  ลูกทุกคน บ่นรู้จัก
เป็นผู้ที่ มีพระคุณ การุณนัก
เป็นผู้ที่  สร้างความรัก สอนความดี
เป็นผู้ที่ คอยสั่งสอน เอาใจใส่
คอยห่วงใย เราทุกคน จนวันนี้
เปรียบแสงทอง สว่างล้ำ นำชีวี
เธอคนนี้ คือ ” แม่ ” ของเราเอง

บทเรียนจากเฟอร์บี้ “ตุ๊กตาน่ารัก และน่าโดนหลอกที่สุด!”

ป้ายกำกับ: 0 ความคิดเห็น

ในช่วง 2 - 3 เดือนที่ผ่านมา กระแสฮิตติดลมบนจนเป็นที่พูดถึงกันไปทั่วคงจะหนีไม่พ้นตุ๊กตาสัตว์เลี้ยง - เฟอร์บี้ จากกระแสในอินสตาแกรมดาราที่พากันอัปรูปกอดก่ายเจ้าตุ๊กตาขนปุยเหล่านี้ สู่กระแสความต้องการที่ถาโถมของผู้คนในโลกอินเทอร์เน็ตจนมีบริการรับสั่งซื้อผุดขึ้นมามากมาย
     
        กระทั่งเกิดกรณีโกงเฟอร์บี้ขึ้นจากการขายเฟอร์บี้ต่อกันเป็นทอดๆ โดยมีผู้เสียหายกว่า 52 รายและมูลค่าความเสียหายสูงถึง 6-7 ล้านบาท การมาถึงของเฟอร์บี้ฟีเวอร์ครั้งนี้คงไม่ใช่เพียงของเล่นเด็กอีกต่อไปแล้ว กระแสการบริโภคที่รุนแรง การปั่นราคา และความปลอดภัยของผู้บริโภคโลกอินเทอร์เน็ต เฟอร์บี้ฝากบทเรียนอะไรไว้กับเราบ้าง?


        
     
       เฟอร์บี้ฟีเวอร์
     
        ในช่วง 4 เดือนสุดท้ายของปี 2555 ยอดขายเฉพาะร้านตัวแทนจำหน่าย(ไม่รวมขายทางอินเทอร์เน็ต) อยู่ที่ประมาณ 50 ล้านบาท หรือขายได้มากกว่า 6,000 ตัว โดยราคาปกติซึ่งปัจจุบันตัวแทนจัดจำหน่ายในเมืองไทยตั้งราคาอยู่ที่ตัวละ 3,995 บาท มีขายตามเว็บไซต์มีราคาหลากหลายตั้งแต่ 3,000 - 5,500 บาท ตามสีที่นิยมโดยสีขาวจะราคาแพงที่สุด
     
        ทั้งนี้ ในอเมริกาเฟอร์บี้มีราคาอยู่ที่ 59.99 เหรียญ ตีเป็นเงินไทยอยู่ที่ประมาณ 1,800 บาท (อัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 30 บาทต่อ1 เหรียญสหรัฐ)
     
        อย่างไรก็ตาม จากกระแสความนิยมที่ทำให้เฟอร์บี้อยู่ในสภาพขาดตลาด ขณะที่ความต้องการยิ่งกลับถี่ตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องก็ทำให้เกิดการเกร็งกำไร ลูกค้านักเล่นเฟอร์บี้หลายคนต้องการเป็นเจ้าของเฟอร์บี้ในปัจจุบันทันด่วน ทำให้ราคาในเว็บไซต์ตั้งสูงไปถึง 5,500 ได้ทั้งที่ราคาขายในห้างอยู่ที่ 3,995 บาท
     
        อ.ธันยวัชร์ ไชยตระกูลชัย ผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาด ชี้ถึงปัจจัยที่จุดกระแสเฟอร์บี้อย่างเด็ดขาดว่า “มาจากดารากับพวกเซเลบ” ที่ถ่ายรูปตัวเองคู่กับเฟอร์บี้ลงอินสตาแกรม เมื่อจุดกระแสให้คนมาหันหาเฟอร์บี้ได้ เจ้าตุ๊กตาช่างพูดเหล่านี้ก็ไม่ใช้โอกาสไปโดยเปล่าประโยชน์ การเป็นสัตว์เลี้ยงคลายเหงา การเป็นเพื่อนที่สามารถเชื่อมโยงกับแอปพลิเคชันในมือถือสมาร์ทโฟน เป็นคุณสมบัติที่ตอบโจทย์คนในยุคปัจจุบันอย่างยิ่ง
     
        “คนไทยอยากมีอยากเป็นเหมือนดารา กระแสแบบนี้ในทางการตลาดมันเคยมีมาแล้ว อย่างตุ๊กตาบลายธ์หรือไอศครีมแม็กนั่ม แล้วตัวเฟอร์บี้เองมันก็ตอบโจทย์ในพฤติกรรมของคนยุคใหม่ที่เหงาง่าย อยู่ในโลกโซเชียลมีเดีย ติดสมาร์ทโฟน อยากมีสัตว์เลี้ยงเล่นด้วยแต่อยู่คอนโดและไม่อยากวุ่นวายกับการเลี้ยงสัตว์ เฟอร์บี้มันตอบโจทย์คนยุคใหม่ได้อย่างดี”
       
        จนเมื่อมีข่าวกรณีโกงเฟอร์บี้ก็ยิ่งทำให้มันเป็นที่รู้จักมากขึ้น หากมองในเชิงการตลาดอ.ธันยวัชร์ชี้ว่า สินค้ากระแสแบบนี้จะมีธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว
     
        “เดี๋ยวนี้สื่อที่สามารถสร้างกระแสให้มันขึ้นไวตกไวมันมีเยอะ แล้วพอมีอินสตาแกรมคนไทยไม่ชอบอ่าน ชอบดูภาพเลย พวกนักข่าวก็อยู่ในโซเชียลมีเดียมากขึ้น ก็นำเอาสิ่งที่อยู่ในสื่อรองมาอยู่ในสื่อหลัก แก่ - สปอต - ใจดี - กทม. คือเคยเป็นกระแส มันเป็นกระแสแบบไฟไหม้ฟางที่หายไปอย่างรวดเร็ว มันเป็นกระแสแต่จะอยู่ได้ขนาดไหนอยู่ที่บริษัทว่าจะมีการจุดกระแสต่อได้อย่างไร? มีการจัดประกวดให้คนถ่ายภาพต่อหรือเปล่า? เล่นกับคนได้มั้ย? อัพเดทแอปพลิเคชันเรื่อยๆมันก็อยู่ได้นาน กระแสแบบนี้มันต้องจุดต้องจุดตลอด
     
        อ.ธันยวัชร์มองถึงการตลาดของการทำกระแสในสังคมยุคปัจจุบันว่า จากลักษณะของคนสมัยนี้เป็นไปตามกระแสได้ง่าย รักง่ายหน่ายเร็ว ลักษณะกระแสกับลักษณะคนจึงเหมือนกัน ความต่อเนื่องของการทำการตลาดจึงเป็นสิ่งจำเป็น
     
        สิ่งที่เป็นที่นิยมสำหรับคนไทยนั้นมักจะตามมาด้วยธุรกิจ เขายกตัวอย่างจตุคามรามเทพที่พอกระแสหายบางองค์บางรุ่นจากมูลค่าหลักหมื่นอาจตกลงเหลือไม่กี่บาท หรือไม่มีใครเอา
     
        นอกจากนี้ด้านที่น่ากลัวมากๆ ของกระแสก็คือการที่ทุกคนพยายามตามกระแสให้ทันแม้ว่าจะสิ่งนั้นจะไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นกับชีวิตก็ตาม
     
        “ใครไม่มีเฟอร์บี้ตอนนี้มันจะไม่ทันสมัยไง? ถ้าเราชอบตอนนี้แพงไม่แพงมันไม่ใช่สาระ ปรากฏการณ์ของกระแสที่น่ากลัวคือ พอทุกคนซื้อแล้วมันบีบให้คนที่ไม่มีต้องซื้อต้องอยากได้ เราจึงได้ยินข่าวนักศึกษาโกหกพ่อที่เป็นวินมอเตอร์ไซค์เพื่อให้พ่อกู้เงินซื้อไอโฟนให้”
       
        สิ่งที่อ.ธันยวัชร์บอกถึงบทเรียนที่หลายคนควรเรียนรู้จากเฟอร์บี้ฟีเวอร์ครั้งนี้ว่า คนไทยนั้นควรอ่านกระแสให้ออกและอยู่เหนือกระแส
     
        “สังคมไทยเป็นสังคมวัตถุนิยม คนรุ่นใหม่บางทีอยู่กับวัตถุของเล่นแก็ดเจ็ต (Gadget) มากกว่าคน คุยกับคนออนไลน์มากกว่าคนจริงๆ เปิดแอปฯเปิดอะไรเล่น มันก็มีของใหม่ๆ มาให้ตื่นตาตื่นใจตลอด วอดแอป(what'app)กับไลน์(line) ไลน์แทบไม่ได้ทำอะไรแค่มีสติ๊กเกอร์ก็ล่อคนเข้ามาได้”
     
        นอกจากมีกระแสใหม่ๆ เข้ามาไม่เว้นวันแล้ว อุปนิสัยอย่างหนึ่งคือคนไทยคือการเป็นคนขี้อวดจึงไม่แปลกที่จะยิ่งเป็นไปตามกระแสของการบริโภคมากขึ้น
     
        “บทเรียนคือเราอย่าไปเต้นตามกระแสให้มาก เมื่อตกอยู่ในวงวนของกระแสเราจะอยากได้อยากมีทุกอย่าง เออีซีไม่ใช่กระแสมันเป็นเทรนด์ที่จะมา เราจะทำตัวเองอย่างไรให้แข่งกับต่างชาติได้ ถ้าเราไม่หลงกระแส เราดูอันไหนเทรนด์ อันไหนกระแส จับเทรนด์ให้ได้มากกว่ากระแส ถ้าเป็นนักการตลาดเราต้องทันกระแสอยู่เหนือกระแสหรือสร้างกระแส
       
       




     
      














 บทเรียนจากตุ๊กตาช่างพูด
     
        สินค้ากระแสแรงที่ความต้องการทางการตลาดพุ่งสูงจนติดเพดาน กลายเป็นตลาดที่เต็มไปด้วยความยั่วยวนของผลกำไรที่หากจับติดมือย่อมได้มาง่ายได้มาเร็ว กรณีโกงเฟอร์บี้จึงเกิดขึ้นโดยมีมูลค่าความเสียหายที่สูงจนน่าตกใจถึง 6-7 ล้านบาท พร้อมทั้งการโกงที่เกิดขึ้นในการซื้อ - ขายกันผ่านทางอินเทอร์เน็ต
     
        บัตรประชาชน ภาพสินค้าพร้อมส่ง เลขที่บัญชี หลักฐานที่ยืนยันความบริสุทธิ์ในการทำธุรกิจบนโลกออนไลน์ สำหรับผู้คนยุคใหม่ที่เริ่มหันมาจับจ่ายตลาดบนโลกออนไลน์มากขึ้น หลักฐานเหล่านี้อาจถือว่าเพียงพอแล้ว ยิ่งสำหรับนักการค้าที่พร้อมจะซื้อเพื่อมาขายต่อทำธุรกิจ ความเสี่ยงก็ถือเป็นปัจจัยหนึ่งในการลงทุน
     
        วันชนะ เจริญผล ผู้ขายเฟอร์บี้ในเพจFurby เฟอร์บี้ ตุ๊กตาพูดได้ ให้ความเห็นว่า จากข่าวที่ออกมาก็ทำให้ขายได้ยากขึ้นบ้าง ทว่าในส่วนของราคาก็ไม่ได้มีการเพิ่มขึ้นตามความต้องการ แต่จะเพิ่มขึ้นตามราคาที่ตัวเองหาของมาได้มากกว่า
     
        “ผมมีอาชีพประจำอยู่แล้วตรงนี้เลยทำเล็กๆน้อยๆไม่ให้เหนื่อยเพราะมีญาติอยู่ที่ญี่ปุ่นก็เลยให้ญาติที่นั่นซื้อส่งมาขาย ต้นทุนก็จะเป็นราคาค่าของบวกกับค่าเหนื่อย ค่าเดินทาง และค่าขนส่ง”
       
        ทั้งนี้ การค้าขายในโลกออนไลน์ตัวเขาเองก็เคยซื้อของจากคนอื่นโดยการโทรศัพน์สั่งของและโอนเงิน เป็นวิธีเดียวกันกับที่เขาทำอยู่ ต่างกันตรงที่พ่อค้าเฟอร์บี้อย่างเขาจะส่งหลักฐานบัตรประชาชนพร้อมใบขับขี่ยืนยันตัวตนให้กับลูกค้าที่จะสั่งของเสมอ
     
        “จริงๆ แล้วหลายคนก็มารับของด้วยตัวเองเพราะไม่ได้วางใจ อย่างผมอยู่ต่างจังหวัดถ้าคนจะมารับของเองก็ยินดีนัดเจอตัวส่งของให้ บางคนมาถ่ายทะเบียนรถไปด้วยก็มี”
       
        ความไว้วางใจในการใช้บริการร้านค้าบนอินเทอร์เน็ตจึงวางอยู่บนการตัดสินใจที่มีหลักฐานเพียงไม่กี่อย่างเท่านั้น โดยกลไกที่จะใช้ในการช่วยเหลือผู้บริโภคหากตกเป็นเหยื่อของมิชฉาชีพจึงไม่มี อิฐบูรณ์ อ้นวงษา หัวหน้าศูนย์ผู้พิทักษ์สิทธิผู้บริโภค มูลนิธิผู้บริโภค เผยว่า แม้การบริโภคจับจ่ายซื้อของในอินเทอร์เน็ตของคนไทยนั้นสูงขึ้นด้วยความสะดวกของช่องทาง และยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ทว่าการปกป้องผู้บริโภคของหน่วยงานรัฐกับการค้าในโลกออนไลน์กลับยังไปไม่ถึงไหน
       
        “ตลาดในโลกออนไลน์มันก็เหมือนตลาดๆ หนึ่งที่มีทั้งพ่อค้าที่จะขายของจริงๆ และพ่อค้าที่เป็นมิจฉาชีพ แต่ตำรวจในโลกออนไลน์มันไม่มี”
     
        กลไกในการตรวจสอบเพื่อป้องกันผู้บริโภคนั้น อิฐบูรณ์เผยว่ายังไม่มีมาตรฐานที่ชัดเจนใดๆ ยิ่งเมื่อเทียบกับมาตรการในการปกป้องลิขสิทธิ์ในโลกออนไลน์ของฝ่ายผู้ค้า ทั้งการจับเว็บที่ละเมิดลิขสิทธิ์หนัง เพลงที่สามารถทำได้แล้วทำให้เกิดคำถามขึ้นว่า เหตุใดจึงไม่มีมาตรฐานในการปกป้องผู้บริโภคเหมือนอย่างที่ปกป้องผู้ผลิต?
       
        “ก่อนหน้านี้เคยมีการพูดถึงการจัดการเรื่องการขายของออนไลน์ แต่ก็พูดถึงในประเด็นการเก็บภาษีเท่านั้น ไม่ได้พูดถึงเรื่องความปลอดภัยของผู้บริโภค” อิฐบูรณ์เล่าถึงท่าทีของรัฐบาลกับธุรกิจออนไลน์ที่กำลังขยายตัวมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีมาตรฐาน การจัดทะเบียน การแสดงตัวตน หรือเสียภาษีใดๆ กับรัฐบาล
     
        ดังนั้นการซื้อ - ขายในโลกออนไลน์จึงถือว่ามีความเสี่ยงสูง โดยที่ผ่านมานั้นก็มีปัญหาหลายๆ แบบเกิดขึ้นแบ่งเป็นปัญหาสินค้าคุณภาพไม่ตรงกับที่โฆษณา และปัญหาไม่ได้รับสินค้า หัวหน้าศูนย์ผู้พิทักษ์ผู้บริโภคเผยถึงวิธีที่มิจฉาชีพโลกออนไลน์มักใช้ในการหลอกลวงดังนี้
     
        “มิจฉาชีพพวกนี้จะใช้วิธีตั้งราคาของให้ถูกกว่าปกติมากเป็นพิเศษ ถ้าเจอแบบนี้ต้องระวังไว้ก่อนเลย เริ่มแรกพวกนี้จะยอมขาดทุนกับของล็อตแรก เหมือนเป็นการวางเหยื่อล่อไว้ให้ลูกค้าไปบอกต่อ ยิ่งราคาถูกคนก็ยิ่งสั่งเยอะ อาศัยความโลภของคนจากนั้นเมื่อมีออเดอร์เข้ามา มีเงินโอนเข้ามากพอก็จะปิดตัวหนีหายไปในทันที
     
        ประเด็นที่เกิดขึ้นนี้จึงเป็นสิ่งที่หน่วยงานของรัฐบาล หากจะเก็บภาษีหรือจัดระเบียบตลาดในโลกออนไลน์ควรเข้ามาดูแลเพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภคด้วย
     
       …...
     
        ลูกเล่นของความน่ารัก การเป็นสิ่งแทนสัตว์เลี้ยงคลายเหงา หรือการเป็นของเล่นคนดัง ไม่ว่าทุกคนจะซื้อเฟอร์บี้ด้วยเหตุผลใด การขับเคลื่อนของตลาดที่ทำให้มูลค่าของสินค้าสูงขึ้นกว่าความเป็นจริง มีเพียงความรอบคอบของการคิดที่จะมองให้เห็นถึงข้อแลกเปลี่ยนเท่านั้นที่จะสามารถหาคำตอบที่ดีที่สุดให้กับการบริโภค
     
        และเมื่อใครสักคนขุดหลุมพลางวางดักผู้คนที่หลงลืมความปลอดภัยของการบริโภคและการลงทุน กลไกในการเรียกร้องในปัจจุบันก็ยังคงมีปัญหา
     
       โดยข่าว ASTV ผู้จัดการ LIVE


ป้ายกำกับ: 0 ความคิดเห็น

กูเกิลจัด อันดับคีย์เวิร์ด ยอดนิยม
คนไทยค้นหาอะไรจากกูเกิลเยอะที่สุดปี 2012
กูเกิลประเทศไทยประกาศอันดับคีย์เวิร์ดยอดนิยมหรือ Google Zeitgeist 2012 เป็นการจัดอันดับคีย์เวิร์ดยอดนิยมที่คนไทยค้นหาผ่านกูเกิลมากที่สุดในปี 2012 เฉพาะประเทศไทยเท่านั้น

โดยคำค้นหาที่มาแรงมากที่สุดในปีนี้ ได้แก่ 4Shared, แรงเงา,  Simsimi, Gangnam Style
ในส่วนคำค้นในหมวดอื่นๆ เช่น หมวดบุคคลมาแรงเป็นของ ครูอังคณา

หมวดรายการทีวี มาแรงเป็นของ แรงเงา
อันดับคีย์เวิร์ด คำค้นมาแรงประจำปี 2012
    4Shared
    แรงเงา
    Simsimi
    Gangnam Style
    วินาทีเดียวเท่านั้น
    ร่มสีเทา
    ปิ่นอนงค์
    Dragon Nest
    Kizi
    บ่วง
อันดับคีย์เวิร์ด 5 อันดับแรก หมวดอื่น ๆ
    บุคคลมาแรง = ครูอังคณา, งานแต่งวุ้นเส้น, ญาญ่า, ณเดช, ทับทิม
    เพลงมาแรง= Gangnam Style, วินาทีเดียวเท่านั้น, ร่มสีเทา, จบมั้ย, เพลงลูกอม
    รายการโทรทัศน์ = แรงเงา, ขุนศึก, The Voice, ลูกผู้ชายไม้ตะพด, ทองประกายแสด
    นักกีฬา =วิลาวัณย์ อภิญญาพงศ์, อรอุมา, ปลื้มจิตร์, อัมพร หญ้าผา, สอง บุตรี
    กีฬา= วิลาวัณย์ อภิญญาพงศ์, โอลิมปิก 2012, วอลเลย์บอล, ประวัตินักกีฬา, นักกีฬาโอลิมปิก
    ภาพยนตร์= ปัญญา เรณู 2, จันดารา, Step Up 4, battleship, รักเว้ยเอ๊ย
    สถานที่ท่องเที่ยว = เกาะล้าน, กาญจนบุรี, สวนสยาม, สงกรานต์ บุรีรัมย์, ทุ่งมะขามหย่อง
    ไอที= Simsimi, Instagram, iPhone 4S, LINE, Facebook
    คนดัง= งานแต่งวุ้นเส้น, น้องเกล, ซัน มาริสา, โกวิท วัฒนกุล, งานแต่งป๋อ
    แบรนด์= Mitsubishi Mirage, Nissan Sylphy, Truemove H, GMM Z, อิชิตัน
    เกม = Dragon Nest, Getprobot, c9, Ever Planet, Bubble Ninja

ข้อมูล อันดับคีย์เวิร์ด จาก ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ 13 ธ.ค. 2555
photo credit : easilymused.com

อ่านชักนิด

ป้ายกำกับ: 0 ความคิดเห็น

โพสต์ทูเดย์ / 13 ก.พ. 2556 นิสิตเกษตรฯ เปลือยหน้าสภาฯ ค้าน มหาวิทยาลัยออกนอกระบบ อัด พ.ร.บ.มีปัญหาหลายจุด
       เมื่อวันที่ 13ก.พ. ตัวแทนแนวร่วมนิสิตนักศึกษาคัดค้านการนำมหาวิทยาลัยออกนอกระบบ  นำโดยนายนิพิฐพนธ์ คำยศ  นักศึกษาวิศวกรรมศาสตร์ ม.เกษตรศาสตร์ ผู้ประสานงานกลุ่ม  รวมตัวหน้าบริเวณรัฐสภา เพื่อยื่นหนังสือถึงนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ผ่านนายวัฒนา เซ่งไพเราะ โฆษกประธานสภาผู้แทนราษฎร และนายตวง อันทะไชย สว.สรรหา ในฐานประธานคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพและคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา เพื่อขอให้เลื่อนการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.​มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ออกไปก่อน เนื่องจากกฎหมายดังกล่าวไม่ผ่านการประชาคมจากนักศึกษา ม.เกษตร
นายนิพิฐพนธ์ กล่าวว่า กระบวนการร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวขาดการมีส่วนร่วมจากผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ไม่ว่าเป็นนิสิต คณาจารย์ พนักงานในมหาวิทยาลัย หรือแม้กระทั่งประชาชนทั่วไป อีกทั้ง ประชาคมของมหาวิทยาลัยไม่ได้รับรู้ข้อมูลข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ไม่มีการทำประชาพิจารณ์ที่แท้จริง แต่ผู้บริหารมหาวิทยาลัยมักอ้างว่า ประชาคมมหาวิทยาลัยเห็นด้วยทุกคน ทั้งๆ ที่ความจริงมีการคัดค้านร่างพ.ร.บ.ดังกล่าวมาโดยตลอด
นอกจากนี้ ยังไม่มีการศึกษาถึงข้อดี-ข้อเสีย ว่ามีผลกระทบอย่างไรต่อคุณภาพการศึกษาและภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน  ในขณะที่ เนื้อหากฎหมายยังมีปัญหาไม่ว่าจะเป็นเรื่องการให้อำนาจกับสภามหาวิทยาลัยมากเกินไป ระบบการตรวจสอบการทุจริตที่กำหนดให้อธิการบดีเป็นประธานการตรวจสอบ ​ซึ่งหมายความว่าอธิการบดีเป็นผู้ตรวจสอบการบริหารงานของตนเอง​
บรรยากาศการการรวมตัวคัดค้าน นักศึกษาชายที่มาร่วมชุมนุมส่วนหนึ่ง ได้ถอดเสื้อผ้าเหลือแต่กางเกงขาสั้น​พร้อมนำป้ายข้อความคัดค้านการนำมหาวิทยาลัยออกนอกระบบมาพันรอบตัว  โดยกลุ่มผู้ชุมนุมจะชุมนุมต่อไปเรื่อยๆจนกว่าจะมีคำตอบว่าจะเลื่อนร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าวออกไปหรือไม่

เผยแพร่โดย ศูนย์ข่าวอาร์เอสยูนิวส์

สาระดีๆ

ป้ายกำกับ: 0 ความคิดเห็น

รู้ยัง? กินอะไรไม่แก่เร็ว
10 สุดยอด เมนูสุขภาพ คุณค่าอาหารล้น-ต้านชรา
         ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ กระทรวงวิทยาศาสตร์ โดยศูนย์เวช ศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ แนะนำ 10 เมนูสุขภาพรับปี 2556 สไตล์อายุรวัฒน์
     นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผอ.ศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ กล่าวว่า อาหาร 10 เมนู มีผลต้านชราและบำรุงสุขภาพ ได้แก่ 
1. ส้มตำไก่ย่าง

 ในส้มตำมีสุดยอดวิตามินอย่าง "มะเขือเทศ" ที่ช่วยป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมากและเต้านม ส่วนมะละกอนั้นช่วย "ล้างพิษ" ให้กับลำไส้ทั้งน้อยและใหญ่ ในมะละกอยังมีน้ำย่อย "ปาเปน" ช่วยเป็นน้ำยาล้างห้องน้ำทำความสะอาดลำไส้ให้ปลอดคราบโปรตีนเกาะ ส่วนการรับประทานคู่กับไก่ย่างมีข้อดีทำให้ไม่ขาดโปรตีน 
2. แกงเขียวหวานไก่


 ในน้ำแกงเขียวหวานเป็นอาหารทิพย์ที่อุดมไปด้วยวิตามินเอ, ดี, อี และเค ที่ละลายอยู่ในกะทิ ส่วนในเนื้อไก่ก็มีวิตามินบีที่ช่วยบำรุงสมอง อีกทั้งในพริกที่ใส่เป็นเครื่องแกงก็มี "กรดแคปไซซิน" กับ "เบต้าแคโรทีน" ที่ช่วยบำรุงสายตา
3. เมี่ยงปลาทู

 หยิบกินง่ายๆ ได้ทั้ง "ซัลโฟราเฟน" เป็นกลุ่มสารต้านมะเร็งจากใบคะน้าห่อเมี่ยง ยิ่งหั่น "มะเขือเทศราชินี" ใส่เข้าไปด้วยจะช่วยให้ผิวพรรณสวย ส่วนในเนื้อปลาทูทอดมีทั้งกรดไขมันดีและ "แอสตาแซน ทิน" ที่กินเข้ากัน 
4. ผัดไทย


 มีทั้งถั่วงอก อุดมด้วย "วิตามินซี" อยู่มากด้วย นอกจากนั้นถั่วและเต้าหู้ในผัดไทยยังอุดมไปด้วยวิตามินอี, แคลเซียม และสาร "พฤกษฮอร์โมน" ที่เป็นไฟโตเอสโตรเจนป้องกันมะเร็งและลดไขมัน


5. ข้าวหอมนิล


 อุดมด้วยสาร "พฤกษเคมี" มีพลังมากกว่าวิตามินอีกับซีรวมกัน 
6. ข้าวตอกน้ำกะทิ


 มีคุณค่าทางอายุรวัฒน์มาก นับตั้งแต่ตัวข้าวตอกเองที่มี "เส้นใย" ช่วยในเรื่อง ไขมันและน้ำตาลได้ ส่วนวิตามินข้างในเป็นแอนตี้ออกซิแดนต์
7. ข้าวต้มมัดหรือข้าวเหนียวปิ้งใส่ไส้

 ได้วิตามินทั้งเอ, บี, ซี ในกล้วยยังมีเส้นใยกับ สารกลุ่มฟีนอล "กรดเอลลาจิก" ช่วยต้านมะเร็งและเนื้องอกได้ด้วย 
8. ข้าวเหนียวดำน้ำกะทิ

 ใส่เครื่องทั้งเผือก, ลำไย, ลูกเดือย และธัญพืชอื่นๆ เป็นแหล่งรวมไฟเบอร์ชั้นสูงเพราะช่วยขัดล้างตั้งแต่หลอดอาหารลงมาถึงลำไส้ใหญ่ ส่วนตัวข้าวเหนียวดำเองก็มี "วิตามินอี" และ "ธาตุเหล็ก" สูงมาก รวมถึง "ธาตุม่วงต้านร่วงโรย (OPCs)" 
9. ข้าวโพดม่วง

 มีทั้งวิตามินบำรุงตาอย่าง "ลูทีน" กับ "ซีแซนทิน" 
10. น้ำสมุนไพร เช่น น้ำอัญชัน, กระเจี๊ยบ, น้ำย่านาง, น้ำใบบัวบก

 เป็นน้ำวิตามินชั้นดี เริ่มตั้งแต่อัญชันมีวิตามินสีม่วงที่ช่วยปกป้องผิวและบำรุงตับ ส่วนน้ำกระเจี๊ยบมีวิตามินซีและเอช่วยบำรุงไต น้ำใบย่านางกับใบบัวบก ประกอบด้วย "คลอโรฟิลล์" และยังมี "กลูต้าไทโอน" ที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระอีกด้วย
ข้อมูล กินอะไรไม่แก่เร็ว จากข่าวสดรายวัน 29 ม.ค.2556

14 กุมภาพันธ์

ป้ายกำกับ: 0 ความคิดเห็น


                พรุ่งนี้ก้วันวาเลนไทน์แล้วสิ ... เฮ้ยๆ

สิ่งสุดท้ายที่อ้ายขอ

ป้ายกำกับ: 0 ความคิดเห็น

ป้ายกำกับ: 0 ความคิดเห็น


ขนมหวาน......

ข้าวเหนียวดำน้ำกะทิ (Black Sticky Rice Pudding)
1. ข้าวเหนียวดำน้ำกะทิ (Black Sticky Rice Pudding)
1 ถ้วย : พลังงาน 325 กิโลแคลอรี
วิธีทำขนมข้าวเหนียวดำน้ำกะทิ


บัวลอย (Dumplings in coconut cream)
2. บัวลอย (Dumplings in coconut cream)
1 ถ้วย : พลังงาน 250 กิโลแคลอรี
วิธีทำขนมบัวลอย


สังขยาฟักทอง ( Thai Pumpkin Custard )
3. สังขยาฟักทอง ( Thai Pumpkin Custard )
1 ชิ้น (ขนาด 2 x 2 นิ้ว) : พลังงาน 288 กิโลแคลอรี
วิธีทำขนมสังขยาฟักทอง


ขนมหม้อแกง ( Thai baked Mung Bean Cake)
4. ขนมหม้อแกง
( Thai baked Mung Bean Cake)
1 ชิ้น (ขนาด 2 x 2 นิ้ว) : พลังงาน 179 กิโลแคลอรี
วิธีทำขนมหม้อแกง


กล้วยไข่เชื่อม ( Thai Banana in Syrup)
5. กล้วยไข่เชื่อม ( Thai Banana in Syrup)
3 ลูก : พลังงาน 270 กิโลแคลอรี
วิธีทำขนมกล้วยไข่เชื่อม


มาจาก  (Source : www.toptenthailand.com )


   

ป้ายกำกับ: 0 ความคิดเห็น

วันแม่แห่งชาติ ซึ่งตรงกับวันที่ ๑๒ สิงหาคม ของทุกปี ถือเป็นวันสำคัญสำหรับลูกๆ ทุกคน ที่จะแสดงความรัก
ความกตัญญูและสำนึกในพระคุณของแม่ผู้ให้กำเนิด
          แต่เดิมกำหนดให้วันที่ ๑๕ เมษายนของทุกปีเป็นวันแม่แห่งชาติ ตามมติของคณะรัฐมนตรีที่ได้พิจารณาเห็นว่าการจัดงานวันแม่ของสำนักวัฒนธรรมฝ่ายหญิง สภาวัฒนธรรมแห่งชาติผู้รับมอบหมายให้จัดงานวันแม่มาตั้งแต่วันที่ ๑๕ เมษายน พ.ศ. ๒๔๙๓ เป็นครั้งแรกและได้รับความสำเร็จเป็นอย่างดี เนื่องจากประชาชนให้การสนับสนุนจนสามารถขยายผลของงานให้กว้างขวางออกไปได้ การจัดงานไม่เพียงแต่จัดพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนาเท่านั้น แต่ยังจัดให้มีการประกวดแม่ของชาติ ประกวดคำขวัญวันแม่ เพื่อให้เกียรติแก่แม่ผู้มีพระคุณด้วย
          ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๑๙ รัฐบาลได้เปลี่ยนใหม่โดยให้ถือเอาวันเสด็จพระราชสมภพของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ วันที่ ๑๒ สิงหาคม เป็น วันแม่แห่งชาติ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเทิดทูนและเผยแพร่พระเกียรติคุณของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในฐานะแม่ของแผ่นดิน ผู้ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อพสกนิกรไทย ตั้งแต่ทรงเข้าพระราชพิธีอภิเษกสมรสกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ด้วยทรงตระหนักในหน้าที่อันพึงมีต่อประเทศชาติและประชาชนให้ได้รับความสุขเสมอกัน นอกจากนี้ ยังต้องการให้ผู้เป็นลูกได้สำนึกและตระหนักถึงหน้าที่ของลูกที่ต้องมีความกตัญญูต่อแม่ และให้ผู้ที่เป็นแม่ได้ตระหนักถึงหน้าที่ของตนที่พึงมีต่อลูกและครอบครัวด้วย และรัฐบาลยังได้กำหนดสัญลักษณ์ที่ใช้ในวันแม่แห่งชาติ คือดอกมะลิ ด้วยเหตุผลที่ว่า ดอกมะลิเป็นดอกไม้ที่มีสีขาวบริสุทธิ์และมีกลิ่นหอมเย็นระรื่นใจ และยังออกดอกได้ตลอดทั้งปี เปรียบได้กับความรักอันบริสุทธิ์ของแม่ที่มีต่อลูกไม่มีวันเสื่อมคลาย”
          ดังนั้น เนื่องในวันแม่แห่งชาติ ลูกๆ ทุกคนควรระลึกถึงพระคุณของแม่ด้วยการนำดอกไม้ หรือพวงมาลัยไปกราบเท้าคุณแม่ และไม่ควรแสดงความกตัญญูแค่เพียงวันแม่เท่านั้น แต่ควรระลึกถึงพระคุณของแม่ทุกวัน พร้อมทั้งดูแลเอาใจใส่ในสุขภาพของแม่ให้แข็งแรงทั้งกายและใจอยู่เสมอ ถ้าลูกๆ ทุกคนปฏิบัติต่อแม่ได้เพียงเท่านี้ ก็ทำให้แม่มีความสุขแล้ว
         และในวันที่ ๑๒ สิงหาคมที่จะถึงนี้ ซึ่งเป็นวันแม่แห่งชาติและวันเสด็จพระราชสมภพของสมเด็จ พระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ กระทรวงวัฒนธรรมและหน่วยงานราชการในสังกัดกระทรวงวัฒนธรรมได้บูรณาการร่วมกันจัดงานมหกรรมวัฒนธรรม เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ          ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๔ เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๗๙ พรรษา เพื่อเฉลิมพระเกียรติและเผยแพร่เกียรติคุณรวมถึงพระราชกรณียกิจในด้านต่างๆ ของพระองค์ โดยเฉพาะด้านการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมไทย โดยจะมีขึ้นในวันที่ ๑๑ - ๑๔ สิงหาคม ๒๕๕๔ ณ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ซึ่งกิจกรรมภายในงานประกอบด้วย นิทรรศการเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ กับพระราชกรณียกิจด้านศิลปะหัตกรรม สิ่งทอและงานศิลปาชีพ ภายใต้หัวข้อ “เปิดกรุผ้าไทย” โดยนำชุดไทยอันงดงามและหาดูได้ยาก และผลิตภัณฑ์ที่วิจิตรบรรจงมาจัดแสดง รวมถึงนิทรรศการเครื่องแต่งกายโขน นิทรรศการและการสาธิตงานช่างสิบหมู่ การปักเครื่องละคร
         นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมอื่นๆ อีกมากมายที่หน่วยงานราชการในสังกัดกระทรวงวัฒนธรรมพร้อมใจกันเทิดพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เริ่มจาก
         กรมส่งเสริมวัฒนธรรม ได้จัดงาน ๘๔ วัฒนธรรมไทยสายใยชุมชน เฉลิมพระเกียรติ หรืองาน “สยามไทยมุง” เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ ด้วยการจัดกิจกรรมการแสดงและสาธิตผลงานของโครงการวัฒนธรรมไทยสายใยชุมชนจากทุกภูมิภาคทั่วประเทศ ตามกรอบแนวคิด “๙ เสน่ห์มรดกวัฒนธรรม ๘ วิถีไทย สานสายใยชุมชน” คือ การจัดกิจกรรมทางศิลปวัฒนธรรมภูมิปัญญา และแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม ตามแผนผังมรดกทางวัฒนธรรมของชุมชน เพื่อส่งเสริมให้เกิดแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม ประกอบด้วย ๙ เสน่ห์มรดกวัฒนธรรม ซึ่งเป็นพื้นที่ในประเทศไทยตั้งแต่อดีต โดยยึดพื้นที่ของโครงการวัฒนธรรมไทยสายใยชุมชนเป็นหลัก ได้แก่ มรดกวัฒนธรรมบ้านเชียง  มรดกวัฒนธรรมทวารวดี มรดกวัฒนธรรมศรีโคตรบูรณ์-ล้านช้าง มรดกวัฒนธรรมลพบุรี มรดกวัฒนธรรมล้านนา มรดกวัฒนธรรมสุโขทัย มรดกวัฒนธรรมอยุธยา มรดกวัฒนธรรมศรีวิชัย และมรดกวัฒนธรรมธนบุรี-รัตนโกสินทร์และ ๘ วิถีไทย ได้แก่ อาหาร การแต่งกาย ที่อยู่อาศัย ประเพณี ภาษา อาชีพ ความเชื่อและศิลปะพื้นถิ่น และยังได้จัดกิจกรรมยกย่องเชิดชูเกียรติโครงการวัฒนธรรมไทยสายใยชุมชน ซึ่งเป็นชุมชนต้นแบบ ระดับ ๕ จำนวน ๕ โครงการ และระดับ ๔  จำนวน ๓๓ โครงการ รวมทั้งสิ้นจำนวน ๓๘ โครงการ เพื่อเสริมสร้างความภาคภูมิใจให้แก่ชุมชน และเป็นแบบอย่างในการร่วมกันอนุรักษ์ พัฒนา สืบสานวัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทย นอกจากนี้ ยังมีโซนโชว์ไทย ชมการแสดงทางศิลปวัฒนธรรมของโครงการวัฒนธรรมไทยสายใยชุมชน โซนลานกิจกรรมตลาดไทยทำมือ  ชมผลงานจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทางวัฒนธรรมของโครงการวัฒนธรรมไทยสายใยชุมชน  และผลิตภัณฑ์สร้างสรรค์ของเด็ก เยาวชน และประชาชนทั่วไป  โซนกินอยู่อย่างไทย  ชิม ช้อปอาหารพื้นบ้านของโครงการวัฒนธรรมไทยสายใยชุมชน และพบกับการแสดงของศิลปินแห่งชาติ ศิลปินที่มีชื่อเสียง ศิลปินท้องถิ่นจากชุมชน อาทิแม่ขวัญจิต  ศรีประจันต์ (เพลงพื้นบ้านภาคกลาง), ฉวีวรรณ  พันธุ และ ป. ฉลาดน้อย (หมอลำ),  เอกชัย  ศรีวิชัย นักร้องลูกทุ่งชื่อดัง, การแสดงจำอวดหน้าม่าน “น้าโย่ง น้านง  น้าพวง”, รุจ เดอะสตาร์ และศิลปินจากลูกทุ่งมหานคร
         กรมศิลปากร ได้นำการแสดงนาฏศิลป์และดนตรีชั้นเยี่ยมมานำเสนอ ได้แก่ การแสดงละครนอกเรื่อง ไกรทอง และการสาธิตการจัดทำหัวโขนและเครื่องแต่งกายโขน
         สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย ได้นำการแสดงร่วมสมัยมานำเสนอ อาทิ การแสดงดนตรีชัยยุทธโตสง่าและวงบอยไทย การแสดงดนตรีวงเบญจรงค์ Wind Quintet และการแสดงดนตรีวงเอื้อมอารีย์ Saxophone Quintet
         สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ ได้นำการแสดงวงพิณ แคน โปงลางจากร้อยเอ็ด และการแสดงโขนผู้หญิง ตอน นาคบาศ มานำเสนอให้รับชม
         กรมการศาสนา จัดกิจกรรม “รวมพลังทางศาสนาเสริมสร้างความสมานฉันท์ เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ” โดยร่วมกับองค์การศาสนาทั้ง ๕ ศาสนา ในวันที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๕๔ ณ โรงละครแห่งชาติ ประกอบด้วยการฉายวีดิทัศน์เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เรื่อง “ร่มโพธิ์ ร่มไทร ของชาวไทย” การแสดงนิทรรศการทางศาสนา เรื่อง สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถกับการศาสนา การบรรยายพิเศษ เรื่อง “พลังศาสนาสร้างสมานฉันท์” การเสวนาจองผู้แทนองค์การศาสนา ๕ ศาสนา เรื่อง “พลังศาสนาสร้างสมานฉันท์ในมิติของศาสนา” การแสดงและการเสวนาของเยาวชน ค่ายเยาวชนสมานฉันท์ การกล่าวสุนทรพจน์ของเยาวชน ๕ ศาสนา การมอบโล่เกียรติคุณแก่ นายสุรัก ประทุมเกสร ผู้แต่งเนื้อร้อง เพลง “สมานฉันท์สู่สันติ” และการจัดพิมพ์หนังสือ “พระราชเสาวนีย์ พระราชดำรัสสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ” เพื่อแจกในงาน
          และที่สำคัญในวันที่ ๑๒ สิงหาคม เวลา ๑๙.๐๐ น. ณ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย จะมีพิธีจุดเทียนถวายพระพรสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถด้วย กรมส่งเสริมวัฒนธรรม จึงขอเชิญชวนประชาชนชาวไทย เข้าร่วมงานมหกรรมวัฒนธรรมเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถได้ตั้งแต่วันที่ ๑๑ – ๑๔ สิงหาคม ๒๕๕๔ ณ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย เพื่อร่วมกันแสดงความจงรักภักดี แด่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และชมมหกรรมการแสดงทางวัฒนธรรมที่ยิ่งใหญ่อลังการที่นับวัน  จะหาชมได้ยาก สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนวัฒนธรรม โทร. ๑๗๖๕ หรือ www.m-culture.go.th


แหล่งข้อมูล จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี รายละเอียด
วันแม่แห่งชาติ ซึ่งตรงกับวันที่ ๑๒ สิงหาคม ของทุกปี ถือเป็นวันสำคัญสำหรับลูกๆ ทุกคน ที่จะแสดงความรัก
ความกตัญญูและสำนึกในพระคุณของแม่ผู้ให้กำเนิด
          แต่เดิมกำหนดให้วันที่ ๑๕ เมษายนของทุกปีเป็นวันแม่แห่งชาติ ตามมติของคณะรัฐมนตรีที่ได้พิจารณาเห็นว่าการจัดงานวันแม่ของสำนักวัฒนธรรมฝ่ายหญิง สภาวัฒนธรรมแห่งชาติผู้รับมอบหมายให้จัดงานวันแม่มาตั้งแต่วันที่ ๑๕ เมษายน พ.ศ. ๒๔๙๓ เป็นครั้งแรกและได้รับความสำเร็จเป็นอย่างดี เนื่องจากประชาชนให้การสนับสนุนจนสามารถขยายผลของงานให้กว้างขวางออกไปได้ การจัดงานไม่เพียงแต่จัดพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนาเท่านั้น แต่ยังจัดให้มีการประกวดแม่ของชาติ ประกวดคำขวัญวันแม่ เพื่อให้เกียรติแก่แม่ผู้มีพระคุณด้วย
          ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๑๙ รัฐบาลได้เปลี่ยนใหม่โดยให้ถือเอาวันเสด็จพระราชสมภพของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ วันที่ ๑๒ สิงหาคม เป็น วันแม่แห่งชาติ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเทิดทูนและเผยแพร่พระเกียรติคุณของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในฐานะแม่ของแผ่นดิน ผู้ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อพสกนิกรไทย ตั้งแต่ทรงเข้าพระราชพิธีอภิเษกสมรสกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ด้วยทรงตระหนักในหน้าที่อันพึงมีต่อประเทศชาติและประชาชนให้ได้รับความสุขเสมอกัน นอกจากนี้ ยังต้องการให้ผู้เป็นลูกได้สำนึกและตระหนักถึงหน้าที่ของลูกที่ต้องมีความกตัญญูต่อแม่ และให้ผู้ที่เป็นแม่ได้ตระหนักถึงหน้าที่ของตนที่พึงมีต่อลูกและครอบครัวด้วย และรัฐบาลยังได้กำหนดสัญลักษณ์ที่ใช้ในวันแม่แห่งชาติ คือดอกมะลิ ด้วยเหตุผลที่ว่า ดอกมะลิเป็นดอกไม้ที่มีสีขาวบริสุทธิ์และมีกลิ่นหอมเย็นระรื่นใจ และยังออกดอกได้ตลอดทั้งปี เปรียบได้กับความรักอันบริสุทธิ์ของแม่ที่มีต่อลูกไม่มีวันเสื่อมคลาย”
          ดังนั้น เนื่องในวันแม่แห่งชาติ ลูกๆ ทุกคนควรระลึกถึงพระคุณของแม่ด้วยการนำดอกไม้ หรือพวงมาลัยไปกราบเท้าคุณแม่ และไม่ควรแสดงความกตัญญูแค่เพียงวันแม่เท่านั้น แต่ควรระลึกถึงพระคุณของแม่ทุกวัน พร้อมทั้งดูแลเอาใจใส่ในสุขภาพของแม่ให้แข็งแรงทั้งกายและใจอยู่เสมอ ถ้าลูกๆ ทุกคนปฏิบัติต่อแม่ได้เพียงเท่านี้ ก็ทำให้แม่มีความสุขแล้ว
         และในวันที่ ๑๒ สิงหาคมที่จะถึงนี้ ซึ่งเป็นวันแม่แห่งชาติและวันเสด็จพระราชสมภพของสมเด็จ พระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ กระทรวงวัฒนธรรมและหน่วยงานราชการในสังกัดกระทรวงวัฒนธรรมได้บูรณาการร่วมกันจัดงานมหกรรมวัฒนธรรม เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ          ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๔ เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๗๙ พรรษา เพื่อเฉลิมพระเกียรติและเผยแพร่เกียรติคุณรวมถึงพระราชกรณียกิจในด้านต่างๆ ของพระองค์ โดยเฉพาะด้านการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมไทย โดยจะมีขึ้นในวันที่ ๑๑ - ๑๔ สิงหาคม ๒๕๕๔ ณ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ซึ่งกิจกรรมภายในงานประกอบด้วย นิทรรศการเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ กับพระราชกรณียกิจด้านศิลปะหัตกรรม สิ่งทอและงานศิลปาชีพ ภายใต้หัวข้อ “เปิดกรุผ้าไทย” โดยนำชุดไทยอันงดงามและหาดูได้ยาก และผลิตภัณฑ์ที่วิจิตรบรรจงมาจัดแสดง รวมถึงนิทรรศการเครื่องแต่งกายโขน นิทรรศการและการสาธิตงานช่างสิบหมู่ การปักเครื่องละคร
         นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมอื่นๆ อีกมากมายที่หน่วยงานราชการในสังกัดกระทรวงวัฒนธรรมพร้อมใจกันเทิดพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เริ่มจาก
         กรมส่งเสริมวัฒนธรรม ได้จัดงาน ๘๔ วัฒนธรรมไทยสายใยชุมชน เฉลิมพระเกียรติ หรืองาน “สยามไทยมุง” เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ ด้วยการจัดกิจกรรมการแสดงและสาธิตผลงานของโครงการวัฒนธรรมไทยสายใยชุมชนจากทุกภูมิภาคทั่วประเทศ ตามกรอบแนวคิด “๙ เสน่ห์มรดกวัฒนธรรม ๘ วิถีไทย สานสายใยชุมชน” คือ การจัดกิจกรรมทางศิลปวัฒนธรรมภูมิปัญญา และแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม ตามแผนผังมรดกทางวัฒนธรรมของชุมชน เพื่อส่งเสริมให้เกิดแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม ประกอบด้วย ๙ เสน่ห์มรดกวัฒนธรรม ซึ่งเป็นพื้นที่ในประเทศไทยตั้งแต่อดีต โดยยึดพื้นที่ของโครงการวัฒนธรรมไทยสายใยชุมชนเป็นหลัก ได้แก่ มรดกวัฒนธรรมบ้านเชียง  มรดกวัฒนธรรมทวารวดี มรดกวัฒนธรรมศรีโคตรบูรณ์-ล้านช้าง มรดกวัฒนธรรมลพบุรี มรดกวัฒนธรรมล้านนา มรดกวัฒนธรรมสุโขทัย มรดกวัฒนธรรมอยุธยา มรดกวัฒนธรรมศรีวิชัย และมรดกวัฒนธรรมธนบุรี-รัตนโกสินทร์และ ๘ วิถีไทย ได้แก่ อาหาร การแต่งกาย ที่อยู่อาศัย ประเพณี ภาษา อาชีพ ความเชื่อและศิลปะพื้นถิ่น และยังได้จัดกิจกรรมยกย่องเชิดชูเกียรติโครงการวัฒนธรรมไทยสายใยชุมชน ซึ่งเป็นชุมชนต้นแบบ ระดับ ๕ จำนวน ๕ โครงการ และระดับ ๔  จำนวน ๓๓ โครงการ รวมทั้งสิ้นจำนวน ๓๘ โครงการ เพื่อเสริมสร้างความภาคภูมิใจให้แก่ชุมชน และเป็นแบบอย่างในการร่วมกันอนุรักษ์ พัฒนา สืบสานวัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทย นอกจากนี้ ยังมีโซนโชว์ไทย ชมการแสดงทางศิลปวัฒนธรรมของโครงการวัฒนธรรมไทยสายใยชุมชน โซนลานกิจกรรมตลาดไทยทำมือ  ชมผลงานจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทางวัฒนธรรมของโครงการวัฒนธรรมไทยสายใยชุมชน  และผลิตภัณฑ์สร้างสรรค์ของเด็ก เยาวชน และประชาชนทั่วไป  โซนกินอยู่อย่างไทย  ชิม ช้อปอาหารพื้นบ้านของโครงการวัฒนธรรมไทยสายใยชุมชน และพบกับการแสดงของศิลปินแห่งชาติ ศิลปินที่มีชื่อเสียง ศิลปินท้องถิ่นจากชุมชน อาทิแม่ขวัญจิต  ศรีประจันต์ (เพลงพื้นบ้านภาคกลาง), ฉวีวรรณ  พันธุ และ ป. ฉลาดน้อย (หมอลำ),  เอกชัย  ศรีวิชัย นักร้องลูกทุ่งชื่อดัง, การแสดงจำอวดหน้าม่าน “น้าโย่ง น้านง  น้าพวง”, รุจ เดอะสตาร์ และศิลปินจากลูกทุ่งมหานคร
         กรมศิลปากร ได้นำการแสดงนาฏศิลป์และดนตรีชั้นเยี่ยมมานำเสนอ ได้แก่ การแสดงละครนอกเรื่อง ไกรทอง และการสาธิตการจัดทำหัวโขนและเครื่องแต่งกายโขน
         สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย ได้นำการแสดงร่วมสมัยมานำเสนอ อาทิ การแสดงดนตรีชัยยุทธโตสง่าและวงบอยไทย การแสดงดนตรีวงเบญจรงค์ Wind Quintet และการแสดงดนตรีวงเอื้อมอารีย์ Saxophone Quintet
         สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ ได้นำการแสดงวงพิณ แคน โปงลางจากร้อยเอ็ด และการแสดงโขนผู้หญิง ตอน นาคบาศ มานำเสนอให้รับชม
         กรมการศาสนา จัดกิจกรรม “รวมพลังทางศาสนาเสริมสร้างความสมานฉันท์ เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ” โดยร่วมกับองค์การศาสนาทั้ง ๕ ศาสนา ในวันที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๕๔ ณ โรงละครแห่งชาติ ประกอบด้วยการฉายวีดิทัศน์เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เรื่อง “ร่มโพธิ์ ร่มไทร ของชาวไทย” การแสดงนิทรรศการทางศาสนา เรื่อง สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถกับการศาสนา การบรรยายพิเศษ เรื่อง “พลังศาสนาสร้างสมานฉันท์” การเสวนาจองผู้แทนองค์การศาสนา ๕ ศาสนา เรื่อง “พลังศาสนาสร้างสมานฉันท์ในมิติของศาสนา” การแสดงและการเสวนาของเยาวชน ค่ายเยาวชนสมานฉันท์ การกล่าวสุนทรพจน์ของเยาวชน ๕ ศาสนา การมอบโล่เกียรติคุณแก่ นายสุรัก ประทุมเกสร ผู้แต่งเนื้อร้อง เพลง “สมานฉันท์สู่สันติ” และการจัดพิมพ์หนังสือ “พระราชเสาวนีย์ พระราชดำรัสสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ” เพื่อแจกในงาน
          และที่สำคัญในวันที่ ๑๒ สิงหาคม เวลา ๑๙.๐๐ น. ณ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย จะมีพิธีจุดเทียนถวายพระพรสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถด้วย กรมส่งเสริมวัฒนธรรม จึงขอเชิญชวนประชาชนชาวไทย เข้าร่วมงานมหกรรมวัฒนธรรมเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถได้ตั้งแต่วันที่ ๑๑ – ๑๔ สิงหาคม ๒๕๕๔ ณ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย เพื่อร่วมกันแสดงความจงรักภักดี แด่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และชมมหกรรมการแสดงทางวัฒนธรรมที่ยิ่งใหญ่อลังการที่นับวัน  จะหาชมได้ยาก สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนวัฒนธรรม โทร. ๑๗๖๕ หรือ www.m-culture.go.th


แหล่งข้อมูล จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี รายละเอียด
วันแม่แห่งชาติ ซึ่งตรงกับวันที่ ๑๒ สิงหาคม ของทุกปี ถือเป็นวันสำคัญสำหรับลูกๆ ทุกคน ที่จะแสดงความรัก
ความกตัญญูและสำนึกในพระคุณของแม่ผู้ให้กำเนิด
          แต่เดิมกำหนดให้วันที่ ๑๕ เมษายนของทุกปีเป็นวันแม่แห่งชาติ ตามมติของคณะรัฐมนตรีที่ได้พิจารณาเห็นว่าการจัดงานวันแม่ของสำนักวัฒนธรรมฝ่ายหญิง สภาวัฒนธรรมแห่งชาติผู้รับมอบหมายให้จัดงานวันแม่มาตั้งแต่วันที่ ๑๕ เมษายน พ.ศ. ๒๔๙๓ เป็นครั้งแรกและได้รับความสำเร็จเป็นอย่างดี เนื่องจากประชาชนให้การสนับสนุนจนสามารถขยายผลของงานให้กว้างขวางออกไปได้ การจัดงานไม่เพียงแต่จัดพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนาเท่านั้น แต่ยังจัดให้มีการประกวดแม่ของชาติ ประกวดคำขวัญวันแม่ เพื่อให้เกียรติแก่แม่ผู้มีพระคุณด้วย
          ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๑๙ รัฐบาลได้เปลี่ยนใหม่โดยให้ถือเอาวันเสด็จพระราชสมภพของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ วันที่ ๑๒ สิงหาคม เป็น วันแม่แห่งชาติ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเทิดทูนและเผยแพร่พระเกียรติคุณของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในฐานะแม่ของแผ่นดิน ผู้ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อพสกนิกรไทย ตั้งแต่ทรงเข้าพระราชพิธีอภิเษกสมรสกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ด้วยทรงตระหนักในหน้าที่อันพึงมีต่อประเทศชาติและประชาชนให้ได้รับความสุขเสมอกัน นอกจากนี้ ยังต้องการให้ผู้เป็นลูกได้สำนึกและตระหนักถึงหน้าที่ของลูกที่ต้องมีความกตัญญูต่อแม่ และให้ผู้ที่เป็นแม่ได้ตระหนักถึงหน้าที่ของตนที่พึงมีต่อลูกและครอบครัวด้วย และรัฐบาลยังได้กำหนดสัญลักษณ์ที่ใช้ในวันแม่แห่งชาติ คือดอกมะลิ ด้วยเหตุผลที่ว่า ดอกมะลิเป็นดอกไม้ที่มีสีขาวบริสุทธิ์และมีกลิ่นหอมเย็นระรื่นใจ และยังออกดอกได้ตลอดทั้งปี เปรียบได้กับความรักอันบริสุทธิ์ของแม่ที่มีต่อลูกไม่มีวันเสื่อมคลาย”
          ดังนั้น เนื่องในวันแม่แห่งชาติ ลูกๆ ทุกคนควรระลึกถึงพระคุณของแม่ด้วยการนำดอกไม้ หรือพวงมาลัยไปกราบเท้าคุณแม่ และไม่ควรแสดงความกตัญญูแค่เพียงวันแม่เท่านั้น แต่ควรระลึกถึงพระคุณของแม่ทุกวัน พร้อมทั้งดูแลเอาใจใส่ในสุขภาพของแม่ให้แข็งแรงทั้งกายและใจอยู่เสมอ ถ้าลูกๆ ทุกคนปฏิบัติต่อแม่ได้เพียงเท่านี้ ก็ทำให้แม่มีความสุขแล้ว
         และในวันที่ ๑๒ สิงหาคมที่จะถึงนี้ ซึ่งเป็นวันแม่แห่งชาติและวันเสด็จพระราชสมภพของสมเด็จ พระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ กระทรวงวัฒนธรรมและหน่วยงานราชการในสังกัดกระทรวงวัฒนธรรมได้บูรณาการร่วมกันจัดงานมหกรรมวัฒนธรรม เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ          ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๔ เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๗๙ พรรษา เพื่อเฉลิมพระเกียรติและเผยแพร่เกียรติคุณรวมถึงพระราชกรณียกิจในด้านต่างๆ ของพระองค์ โดยเฉพาะด้านการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมไทย โดยจะมีขึ้นในวันที่ ๑๑ - ๑๔ สิงหาคม ๒๕๕๔ ณ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ซึ่งกิจกรรมภายในงานประกอบด้วย นิทรรศการเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ กับพระราชกรณียกิจด้านศิลปะหัตกรรม สิ่งทอและงานศิลปาชีพ ภายใต้หัวข้อ “เปิดกรุผ้าไทย” โดยนำชุดไทยอันงดงามและหาดูได้ยาก และผลิตภัณฑ์ที่วิจิตรบรรจงมาจัดแสดง รวมถึงนิทรรศการเครื่องแต่งกายโขน นิทรรศการและการสาธิตงานช่างสิบหมู่ การปักเครื่องละคร
         นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมอื่นๆ อีกมากมายที่หน่วยงานราชการในสังกัดกระทรวงวัฒนธรรมพร้อมใจกันเทิดพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เริ่มจาก
         กรมส่งเสริมวัฒนธรรม ได้จัดงาน ๘๔ วัฒนธรรมไทยสายใยชุมชน เฉลิมพระเกียรติ หรืองาน “สยามไทยมุง” เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ ด้วยการจัดกิจกรรมการแสดงและสาธิตผลงานของโครงการวัฒนธรรมไทยสายใยชุมชนจากทุกภูมิภาคทั่วประเทศ ตามกรอบแนวคิด “๙ เสน่ห์มรดกวัฒนธรรม ๘ วิถีไทย สานสายใยชุมชน” คือ การจัดกิจกรรมทางศิลปวัฒนธรรมภูมิปัญญา และแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม ตามแผนผังมรดกทางวัฒนธรรมของชุมชน เพื่อส่งเสริมให้เกิดแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม ประกอบด้วย ๙ เสน่ห์มรดกวัฒนธรรม ซึ่งเป็นพื้นที่ในประเทศไทยตั้งแต่อดีต โดยยึดพื้นที่ของโครงการวัฒนธรรมไทยสายใยชุมชนเป็นหลัก ได้แก่ มรดกวัฒนธรรมบ้านเชียง  มรดกวัฒนธรรมทวารวดี มรดกวัฒนธรรมศรีโคตรบูรณ์-ล้านช้าง มรดกวัฒนธรรมลพบุรี มรดกวัฒนธรรมล้านนา มรดกวัฒนธรรมสุโขทัย มรดกวัฒนธรรมอยุธยา มรดกวัฒนธรรมศรีวิชัย และมรดกวัฒนธรรมธนบุรี-รัตนโกสินทร์และ ๘ วิถีไทย ได้แก่ อาหาร การแต่งกาย ที่อยู่อาศัย ประเพณี ภาษา อาชีพ ความเชื่อและศิลปะพื้นถิ่น และยังได้จัดกิจกรรมยกย่องเชิดชูเกียรติโครงการวัฒนธรรมไทยสายใยชุมชน ซึ่งเป็นชุมชนต้นแบบ ระดับ ๕ จำนวน ๕ โครงการ และระดับ ๔  จำนวน ๓๓ โครงการ รวมทั้งสิ้นจำนวน ๓๘ โครงการ เพื่อเสริมสร้างความภาคภูมิใจให้แก่ชุมชน และเป็นแบบอย่างในการร่วมกันอนุรักษ์ พัฒนา สืบสานวัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทย นอกจากนี้ ยังมีโซนโชว์ไทย ชมการแสดงทางศิลปวัฒนธรรมของโครงการวัฒนธรรมไทยสายใยชุมชน โซนลานกิจกรรมตลาดไทยทำมือ  ชมผลงานจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทางวัฒนธรรมของโครงการวัฒนธรรมไทยสายใยชุมชน  และผลิตภัณฑ์สร้างสรรค์ของเด็ก เยาวชน และประชาชนทั่วไป  โซนกินอยู่อย่างไทย  ชิม ช้อปอาหารพื้นบ้านของโครงการวัฒนธรรมไทยสายใยชุมชน และพบกับการแสดงของศิลปินแห่งชาติ ศิลปินที่มีชื่อเสียง ศิลปินท้องถิ่นจากชุมชน อาทิแม่ขวัญจิต  ศรีประจันต์ (เพลงพื้นบ้านภาคกลาง), ฉวีวรรณ  พันธุ และ ป. ฉลาดน้อย (หมอลำ),  เอกชัย  ศรีวิชัย นักร้องลูกทุ่งชื่อดัง, การแสดงจำอวดหน้าม่าน “น้าโย่ง น้านง  น้าพวง”, รุจ เดอะสตาร์ และศิลปินจากลูกทุ่งมหานคร
         กรมศิลปากร ได้นำการแสดงนาฏศิลป์และดนตรีชั้นเยี่ยมมานำเสนอ ได้แก่ การแสดงละครนอกเรื่อง ไกรทอง และการสาธิตการจัดทำหัวโขนและเครื่องแต่งกายโขน
         สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย ได้นำการแสดงร่วมสมัยมานำเสนอ อาทิ การแสดงดนตรีชัยยุทธโตสง่าและวงบอยไทย การแสดงดนตรีวงเบญจรงค์ Wind Quintet และการแสดงดนตรีวงเอื้อมอารีย์ Saxophone Quintet
         สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ ได้นำการแสดงวงพิณ แคน โปงลางจากร้อยเอ็ด และการแสดงโขนผู้หญิง ตอน นาคบาศ มานำเสนอให้รับชม
         กรมการศาสนา จัดกิจกรรม “รวมพลังทางศาสนาเสริมสร้างความสมานฉันท์ เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ” โดยร่วมกับองค์การศาสนาทั้ง ๕ ศาสนา ในวันที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๕๔ ณ โรงละครแห่งชาติ ประกอบด้วยการฉายวีดิทัศน์เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เรื่อง “ร่มโพธิ์ ร่มไทร ของชาวไทย” การแสดงนิทรรศการทางศาสนา เรื่อง สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถกับการศาสนา การบรรยายพิเศษ เรื่อง “พลังศาสนาสร้างสมานฉันท์” การเสวนาจองผู้แทนองค์การศาสนา ๕ ศาสนา เรื่อง “พลังศาสนาสร้างสมานฉันท์ในมิติของศาสนา” การแสดงและการเสวนาของเยาวชน ค่ายเยาวชนสมานฉันท์ การกล่าวสุนทรพจน์ของเยาวชน ๕ ศาสนา การมอบโล่เกียรติคุณแก่ นายสุรัก ประทุมเกสร ผู้แต่งเนื้อร้อง เพลง “สมานฉันท์สู่สันติ” และการจัดพิมพ์หนังสือ “พระราชเสาวนีย์ พระราชดำรัสสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ” เพื่อแจกในงาน
          และที่สำคัญในวันที่ ๑๒ สิงหาคม เวลา ๑๙.๐๐ น. ณ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย จะมีพิธีจุดเทียนถวายพระพรสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถด้วย กรมส่งเสริมวัฒนธรรม จึงขอเชิญชวนประชาชนชาวไทย เข้าร่วมงานมหกรรมวัฒนธรรมเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถได้ตั้งแต่วันที่ ๑๑ – ๑๔ สิงหาคม ๒๕๕๔ ณ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย เพื่อร่วมกันแสดงความจงรักภักดี แด่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และชมมหกรรมการแสดงทางวัฒนธรรมที่ยิ่งใหญ่อลังการที่นับวัน  จะหาชมได้ยาก สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนวัฒนธรรม โทร. ๑๗๖๕ หรือ www.m-culture.go.th


แหล่งข้อมูล จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี รายละเอียด
วันแม่แห่งชาติ ซึ่งตรงกับวันที่ ๑๒ สิงหาคม ของทุกปี ถือเป็นวันสำคัญสำหรับลูกๆ ทุกคน ที่จะแสดงความรัก
ความกตัญญูและสำนึกในพระคุณของแม่ผู้ให้กำเนิด
          แต่เดิมกำหนดให้วันที่ ๑๕ เมษายนของทุกปีเป็นวันแม่แห่งชาติ ตามมติของคณะรัฐมนตรีที่ได้พิจารณาเห็นว่าการจัดงานวันแม่ของสำนักวัฒนธรรมฝ่ายหญิง สภาวัฒนธรรมแห่งชาติผู้รับมอบหมายให้จัดงานวันแม่มาตั้งแต่วันที่ ๑๕ เมษายน พ.ศ. ๒๔๙๓ เป็นครั้งแรกและได้รับความสำเร็จเป็นอย่างดี เนื่องจากประชาชนให้การสนับสนุนจนสามารถขยายผลของงานให้กว้างขวางออกไปได้ การจัดงานไม่เพียงแต่จัดพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนาเท่านั้น แต่ยังจัดให้มีการประกวดแม่ของชาติ ประกวดคำขวัญวันแม่ เพื่อให้เกียรติแก่แม่ผู้มีพระคุณด้วย
          ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๑๙ รัฐบาลได้เปลี่ยนใหม่โดยให้ถือเอาวันเสด็จพระราชสมภพของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ วันที่ ๑๒ สิงหาคม เป็น วันแม่แห่งชาติ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเทิดทูนและเผยแพร่พระเกียรติคุณของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในฐานะแม่ของแผ่นดิน ผู้ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อพสกนิกรไทย ตั้งแต่ทรงเข้าพระราชพิธีอภิเษกสมรสกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ด้วยทรงตระหนักในหน้าที่อันพึงมีต่อประเทศชาติและประชาชนให้ได้รับความสุขเสมอกัน นอกจากนี้ ยังต้องการให้ผู้เป็นลูกได้สำนึกและตระหนักถึงหน้าที่ของลูกที่ต้องมีความกตัญญูต่อแม่ และให้ผู้ที่เป็นแม่ได้ตระหนักถึงหน้าที่ของตนที่พึงมีต่อลูกและครอบครัวด้วย และรัฐบาลยังได้กำหนดสัญลักษณ์ที่ใช้ในวันแม่แห่งชาติ คือดอกมะลิ ด้วยเหตุผลที่ว่า ดอกมะลิเป็นดอกไม้ที่มีสีขาวบริสุทธิ์และมีกลิ่นหอมเย็นระรื่นใจ และยังออกดอกได้ตลอดทั้งปี เปรียบได้กับความรักอันบริสุทธิ์ของแม่ที่มีต่อลูกไม่มีวันเสื่อมคลาย”
          ดังนั้น เนื่องในวันแม่แห่งชาติ ลูกๆ ทุกคนควรระลึกถึงพระคุณของแม่ด้วยการนำดอกไม้ หรือพวงมาลัยไปกราบเท้าคุณแม่ และไม่ควรแสดงความกตัญญูแค่เพียงวันแม่เท่านั้น แต่ควรระลึกถึงพระคุณของแม่ทุกวัน พร้อมทั้งดูแลเอาใจใส่ในสุขภาพของแม่ให้แข็งแรงทั้งกายและใจอยู่เสมอ ถ้าลูกๆ ทุกคนปฏิบัติต่อแม่ได้เพียงเท่านี้ ก็ทำให้แม่มีความสุขแล้ว
         และในวันที่ ๑๒ สิงหาคมที่จะถึงนี้ ซึ่งเป็นวันแม่แห่งชาติและวันเสด็จพระราชสมภพของสมเด็จ พระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ กระทรวงวัฒนธรรมและหน่วยงานราชการในสังกัดกระทรวงวัฒนธรรมได้บูรณาการร่วมกันจัดงานมหกรรมวัฒนธรรม เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ          ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๔ เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๗๙ พรรษา เพื่อเฉลิมพระเกียรติและเผยแพร่เกียรติคุณรวมถึงพระราชกรณียกิจในด้านต่างๆ ของพระองค์ โดยเฉพาะด้านการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมไทย โดยจะมีขึ้นในวันที่ ๑๑ - ๑๔ สิงหาคม ๒๕๕๔ ณ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ซึ่งกิจกรรมภายในงานประกอบด้วย นิทรรศการเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ กับพระราชกรณียกิจด้านศิลปะหัตกรรม สิ่งทอและงานศิลปาชีพ ภายใต้หัวข้อ “เปิดกรุผ้าไทย” โดยนำชุดไทยอันงดงามและหาดูได้ยาก และผลิตภัณฑ์ที่วิจิตรบรรจงมาจัดแสดง รวมถึงนิทรรศการเครื่องแต่งกายโขน นิทรรศการและการสาธิตงานช่างสิบหมู่ การปักเครื่องละคร
         นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมอื่นๆ อีกมากมายที่หน่วยงานราชการในสังกัดกระทรวงวัฒนธรรมพร้อมใจกันเทิดพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เริ่มจาก
         กรมส่งเสริมวัฒนธรรม ได้จัดงาน ๘๔ วัฒนธรรมไทยสายใยชุมชน เฉลิมพระเกียรติ หรืองาน “สยามไทยมุง” เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ ด้วยการจัดกิจกรรมการแสดงและสาธิตผลงานของโครงการวัฒนธรรมไทยสายใยชุมชนจากทุกภูมิภาคทั่วประเทศ ตามกรอบแนวคิด “๙ เสน่ห์มรดกวัฒนธรรม ๘ วิถีไทย สานสายใยชุมชน” คือ การจัดกิจกรรมทางศิลปวัฒนธรรมภูมิปัญญา และแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม ตามแผนผังมรดกทางวัฒนธรรมของชุมชน เพื่อส่งเสริมให้เกิดแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม ประกอบด้วย ๙ เสน่ห์มรดกวัฒนธรรม ซึ่งเป็นพื้นที่ในประเทศไทยตั้งแต่อดีต โดยยึดพื้นที่ของโครงการวัฒนธรรมไทยสายใยชุมชนเป็นหลัก ได้แก่ มรดกวัฒนธรรมบ้านเชียง  มรดกวัฒนธรรมทวารวดี มรดกวัฒนธรรมศรีโคตรบูรณ์-ล้านช้าง มรดกวัฒนธรรมลพบุรี มรดกวัฒนธรรมล้านนา มรดกวัฒนธรรมสุโขทัย มรดกวัฒนธรรมอยุธยา มรดกวัฒนธรรมศรีวิชัย และมรดกวัฒนธรรมธนบุรี-รัตนโกสินทร์และ ๘ วิถีไทย ได้แก่ อาหาร การแต่งกาย ที่อยู่อาศัย ประเพณี ภาษา อาชีพ ความเชื่อและศิลปะพื้นถิ่น และยังได้จัดกิจกรรมยกย่องเชิดชูเกียรติโครงการวัฒนธรรมไทยสายใยชุมชน ซึ่งเป็นชุมชนต้นแบบ ระดับ ๕ จำนวน ๕ โครงการ และระดับ ๔  จำนวน ๓๓ โครงการ รวมทั้งสิ้นจำนวน ๓๘ โครงการ เพื่อเสริมสร้างความภาคภูมิใจให้แก่ชุมชน และเป็นแบบอย่างในการร่วมกันอนุรักษ์ พัฒนา สืบสานวัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทย นอกจากนี้ ยังมีโซนโชว์ไทย ชมการแสดงทางศิลปวัฒนธรรมของโครงการวัฒนธรรมไทยสายใยชุมชน โซนลานกิจกรรมตลาดไทยทำมือ  ชมผลงานจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทางวัฒนธรรมของโครงการวัฒนธรรมไทยสายใยชุมชน  และผลิตภัณฑ์สร้างสรรค์ของเด็ก เยาวชน และประชาชนทั่วไป  โซนกินอยู่อย่างไทย  ชิม ช้อปอาหารพื้นบ้านของโครงการวัฒนธรรมไทยสายใยชุมชน และพบกับการแสดงของศิลปินแห่งชาติ ศิลปินที่มีชื่อเสียง ศิลปินท้องถิ่นจากชุมชน อาทิแม่ขวัญจิต  ศรีประจันต์ (เพลงพื้นบ้านภาคกลาง), ฉวีวรรณ  พันธุ และ ป. ฉลาดน้อย (หมอลำ),  เอกชัย  ศรีวิชัย นักร้องลูกทุ่งชื่อดัง, การแสดงจำอวดหน้าม่าน “น้าโย่ง น้านง  น้าพวง”, รุจ เดอะสตาร์ และศิลปินจากลูกทุ่งมหานคร
         กรมศิลปากร ได้นำการแสดงนาฏศิลป์และดนตรีชั้นเยี่ยมมานำเสนอ ได้แก่ การแสดงละครนอกเรื่อง ไกรทอง และการสาธิตการจัดทำหัวโขนและเครื่องแต่งกายโขน
         สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย ได้นำการแสดงร่วมสมัยมานำเสนอ อาทิ การแสดงดนตรีชัยยุทธโตสง่าและวงบอยไทย การแสดงดนตรีวงเบญจรงค์ Wind Quintet และการแสดงดนตรีวงเอื้อมอารีย์ Saxophone Quintet
         สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ ได้นำการแสดงวงพิณ แคน โปงลางจากร้อยเอ็ด และการแสดงโขนผู้หญิง ตอน นาคบาศ มานำเสนอให้รับชม
         กรมการศาสนา จัดกิจกรรม “รวมพลังทางศาสนาเสริมสร้างความสมานฉันท์ เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ” โดยร่วมกับองค์การศาสนาทั้ง ๕ ศาสนา ในวันที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๕๔ ณ โรงละครแห่งชาติ ประกอบด้วยการฉายวีดิทัศน์เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เรื่อง “ร่มโพธิ์ ร่มไทร ของชาวไทย” การแสดงนิทรรศการทางศาสนา เรื่อง สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถกับการศาสนา การบรรยายพิเศษ เรื่อง “พลังศาสนาสร้างสมานฉันท์” การเสวนาจองผู้แทนองค์การศาสนา ๕ ศาสนา เรื่อง “พลังศาสนาสร้างสมานฉันท์ในมิติของศาสนา” การแสดงและการเสวนาของเยาวชน ค่ายเยาวชนสมานฉันท์ การกล่าวสุนทรพจน์ของเยาวชน ๕ ศาสนา การมอบโล่เกียรติคุณแก่ นายสุรัก ประทุมเกสร ผู้แต่งเนื้อร้อง เพลง “สมานฉันท์สู่สันติ” และการจัดพิมพ์หนังสือ “พระราชเสาวนีย์ พระราชดำรัสสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ” เพื่อแจกในงาน
          และที่สำคัญในวันที่ ๑๒ สิงหาคม เวลา ๑๙.๐๐ น. ณ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย จะมีพิธีจุดเทียนถวายพระพรสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถด้วย กรมส่งเสริมวัฒนธรรม จึงขอเชิญชวนประชาชนชาวไทย เข้าร่วมงานมหกรรมวัฒนธรรมเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถได้ตั้งแต่วันที่ ๑๑ – ๑๔ สิงหาคม ๒๕๕๔ ณ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย เพื่อร่วมกันแสดงความจงรักภักดี แด่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และชมมหกรรมการแสดงทางวัฒนธรรมที่ยิ่งใหญ่อลังการที่นับวัน  จะหาชมได้ยาก สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนวัฒนธรรม โทร. ๑๗๖๕ หรือ www.m-culture.go.th


แหล่งข้อมูล จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี รายละเอียด

ป้ายกำกับ: 0 ความคิดเห็น

ป่าพรุสิรินธร
ป่าพรุสิรินธร เป็นส่วนหนึ่งของป่าพรุโต๊ะแดง ป่าพรุแห่งสุดท้ายของประเทศไทย ซึ่งคลุมพื้นที่ของ 3 อำเภอ คือ อำเภอตากใบ อำเภอสุไหงโกลก และอำเภอสุไหงปาดี มีพื้นที่ประมาณ 120,000 ไร่ แต่ส่วนที่สมบูรณ์โดยประมาณมีเพียง 50,000 ไร่ เป็นป่าที่ยังคงความอุดมสมบูรณ์ด้วยสัตว์ป่าและ พรรณไม้ พื้นที่ป่าพรุมีลำน้ำสำคัญหลายสายไหลผ่าน คือ คลองสุไหงปาดี แม่น้ำบางนรา และคลองโต๊ะแดง อันเป็นที่มาของชื่อป่าภายในศูนย์ฯ ได้จัดให้มีทางเดินป่าศึกษาธรรมชาติ เพื่อประชาสัมพันธ์ความรู้ด้านต่างๆ ที่เกี่ยวกับธรรมชาติของป่าพรุ เริ่มที่บึงน้ำด้านหลังอาคารศูนย์วิจัยและศึกษาธรรมชาติป่าพรุสิรินธรเป็นสะพานไม้ต่อลัดเลาะเข้าไปในป่าพรุ ระยะทาง 1,200 เมตร บางช่วงเป็นสะพานไม้ร้อยลวดสลิง บางช่วงเป็นหอสูงสำหรับมองทิวทัศน์เบื้องล่างที่ชอุ่มไปด้วยไม้นานาพรรณในป่าพรุ จะมีป้ายชื่อต้นไม้ที่น่าสนใจ และซุ้มความรู้อยู่เป็นจุดๆ สำหรับให้ความรู้แก่ผู้เดินชมด้วย เปิดทุกวันเวลา 8.00–16.00 น. ไม่เสียค่าเข้าชม และยังมีห้องจัดนิทรรศการให้ความรู้แก่คนที่มาเที่ยวชมอีกด้วย
      ป่าพรุ หรือ peat swamp forest เกิดขึ้นได้อย่างไร ? คำตอบคือ เกิดจากแอ่งน้ำจืดขังติดต่อกันชั่วนาตาปี และมีการสะสมของชั้นดินอินทรียวัตถุ ก็คือซากพืช ซากต้นไม้ ใบไม้ จนย่อยสลายอย่างช้าๆ กลายเป็นดินพีท (peat) หรือดินอินทรีย์ที่มีลักษณะหยุ่นยวบเหมือนฟองน้ำมีความหนาแน่นน้อยอุ้มน้ำได้มาก และพบว่ามีการสะสมระหว่างดินพีท กับดินตะกอนทะเล สลับชั้นกัน 2-3 ชั้น เนื่องจากน้ำทะเลเคยมีระดับสูงขึ้นจนท่วมป่าพรุ เกิดการสะสมของตะกอน น้ำทะเลถูกขังอยู่ด้านใน พันธุ์ไม้ในป่าพรุตายไปและเกิดป่าชายเลนขึ้นแทนที่ เมื่อระดับน้ำทะเลลดลงและมีฝนตกลงมาสะสมน้ำที่ขังอยู่จึงจืดลง และเกิดป่าพรุขึ้นอีกครั้ง ดินพรุชั้นล่างมีอายุถึง 6,000-7,000 ปี ส่วนดินพรุชั้นบนอยู่ระหว่าง 700-1,000 ปี
      ระบบนิเวศน์ในป่าพรุนั้นมีหลากหลาย ทุกชีวิตล้วนเกี่ยวพันต่อเนื่องกัน ไม้ยืนต้นจะมีระบบรากแขนงแข็งแรงแผ่ออกไปเกาะเกี่ยวกันเพื่อจะได้ช่วยพยุงลำต้นของกันและกันให้ทรงตัวอยู่ได้ ฉะนั้นต้นไม้ในป่าพรุจึงอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม หากต้นใดล้ม ต้นอื่นจะล้มตามไปด้วย
      พันธุ์ไม้ที่พบในป่าพรุมีกว่า 400 ชนิด บางอย่างนำมารับประทานได้ เช่น หลุมพี ซึ่งเป็นไม้ในตระกูลปาล์ม มีลักษณะต้นและใบคล้ายปาล์ม แต่มีหนามแหลมอยู่ตลอดก้าน ผลมีลักษณะคล้ายระกำ แต่จะเล็กกว่า รสชาติออกเปรี้ยว ชาวบ้านนำมาดองและส่งขายฝั่งมาเลเซีย ซึ่งคนมาเลย์จะนิยมมาก ฤดูเก็บจะอยู่ในช่วงเดือน พฤศจิกายน-มีนาคม ถ้าเป็นช่วงอื่นจะหายากและราคาสูง บางอย่างเป็นพืชพรรณในเขตมาเลเซีย เช่น หมากแดง ซึ่งมีลำต้นสีแดง เป็นปาล์มชั้นดีมีราคา มีผู้นิยมนำไปเพาะเพื่อประดับสวน เพราะความสวยของกาบและใบ ลำต้นมีสีแดงดังชื่อ ยังมีพืชอีกหลายชนิดที่น่าสนใจ เช่น ปาหนันช้าง พืชในวงศ์กระดังงาที่มีดอกใหญ่และ กล้วยไม้กับพืชเล็กๆ ซึ่งจะต้องสังเกตดีๆ จึงจะได้เห็น
      สัตว์ป่าที่พบกว่า 200 ชนิด เช่น ค่าง ชะมด หมูป่า หมีขอ แมวป่าหัวแบน(ซึ่งเป็นสัตว์คุ้มครองที่หายากอีกชนิดหนึ่งของไทย) หนูสิงคโปร์ พบค่อนข้างยากในคาบสมุทรมลายูแต่ชุกชุมมากบนเกาะสิงคโปร์ สำหรับประเทศไทยพบชุกชุมในป่าพรุโต๊ะแดงนี้เท่านั้น  และหากป่าพรุถูกทำลายหนูเหล่านี้อาจออกไปทำลายผลิตผลของเกษตรกรในพื้นที่โดยรอบได้
      พันธุ์ปลาที่พบ ได้แก่ ปลาปากยื่น เป็นปลาชนิดใหม่ของโลกพบที่ป่าพรุสิรินธรนี้เท่านั้น ปลาดุกรำพัน ที่มีรูปร่างคล้ายงูซึ่งอาจพัฒนาเป็นปลาเศรษฐกิจที่ใช้เลี้ยงในแหล่งที่มีปัญหาน้ำเปรี้ยวได้ ปลากะแมะ รูปร่างประหลาดมีหัวแบนๆกว้างๆ และลำตัวค่อยๆยาวเรียวไปจนถึงหาง มีเงี่ยงพิษอยู่ที่ครีบหลัง  ปลาเหล่านี้จะอาศัยป่าพรุเป็นพื้นที่หลบภัยและวางไข่ก่อนที่จะแพร่ลูกหลานออกไปให้ชาวบ้านได้อาศัยเป็นเครื่องยังชีพ
      นกที่นี่มีหลายชนิด แต่ที่เด่นๆ ได้แก่ นกกางเขนดงหางแดง มีมากในเกาะสุมาตรา เกาะบอร์เนียว และมาเลเซีย ในประเทศไทยพบครั้งแรกที่นี่เมื่อปีพ.ศ. 2530  นกจับแมลงสีฟ้ามาเลเซีย ซึ่งในประเทศไทยจะพบที่ป่าพรุสิรินธรเพียงแห่งเดียวเท่านั้น และปัจจุบันนกทั้งสองชนิดอยู่ในภาวะล่อแหลมต่อการสูญพันธุ์
      ความน่าสนใจของป่าพรุไม่ใช่เพียงแต่ พรรณไม้แปลกๆ สัตว์ป่าหายาก แต่คนที่ไปเที่ยวโดยเฉพาะเด็กๆจะได้ประสบการณ์ชีวิตกลับไปมากมาย จากธรรมชาติรอบตัวบางทีหากเดินชมธรรมชาติเงียบๆอาจจะได้พบสัตว์ป่ากำลังหาอาหารอยู่ก็เป็นได้  เส้นทางนี้นำเราเข้าไปหาธรรมชาติอย่างใกล้ชิดแต่ก็ไม่ได้นำเราเข้าไปล่วงเกินธรรมชาติมากนัก
      หากนำคู่มือดูนก สมุดบันทึก ดินสอสี กล้องส่องตา กล้องถ่ายรูป และยาทากันยุงไปด้วย อาจจะเพลิดเพลินจนใช้เวลาในนี้ได้ทั้งวัน อากาศสดชื่นเย็นสบายในป่าพรุก็ยังทำให้คนที่เข้าไปเยือนรู้สึกสดชื่นประทับใจ  แต่ช่วงเวลาที่มาท่องเที่ยวได้สะดวกคือ กุมภาพันธ์-เมษายน เพราะฝนจะตกน้อยที่สุด เนื่องจากป่าพรุมีภูมิอากาศแบบคาบสมุทร ฉะนั้นจึงมีฝนตกชุกตลอดปี
      สิ่งที่ต้องให้ความระมัดระวังก็คือ ยุงดำ สัตว์กินเลือด พาหะนำโรคเท้าช้าง ซึ่งจะมีอยู่ชุกชุมและออกหาอาหารในช่วงเวลาค่ำ และ ไฟป่า ที่อาจเกิดขึ้นได้จากการสูบบุหรี่ โดยเผลอทิ้งก้นบุหรี่ลงไป เมื่อป่าพรุเกิดไฟป่าแล้วจะดับยากมากกว่าป่าชนิดอื่น เนื่องจากเชื้อเพลิงไม่ได้มีแค่ต้นไม้ในป่า แต่รวมไปถึงซากไม้ และต้นไม้ที่ทับถมกันในชั้นดินพรุ จึงเป็นไฟที่ลุกลามลงไปใต้ดิน ทำให้การควบคุมหรือดับไฟลำบาก ไฟจะคุกรุ่นกินเวลานับเดือนๆ ต้องรอจนกว่าจะมีฝนตกชุก น้ำท่วมผิวดินไฟจึงจะดับสนิท
การเดินทาง
เดินทางโดยรถไฟ  จากกรุงเทพฯจะค่อนข้างสะดวกกว่า เพราะสถานีปลายทางอยู่ที่อำเภอสุไหงโกลก หากมิได้นำรถมาเองสามารถใช้บริการรถรับจ้างจากตัวเมืองสุไหงโกลกได้โดยสะดวก
ทางรถยนต์  จากอำเภอตากใบใช้เส้นทางตากใบ - สุไหงโกลก (ทางหลวงหมายเลข 4057) ประมาณ 5 กิโลเมตร จะมีทางแยกเล็กๆ เข้าสู่ถนนชวนะนันท์ เข้าไปประมาณ 3กิโลเมตร แล้วเลี้ยวซ้ายไปอีก 2 กิโลเมตร มีป้ายบอกทางเข้าสู่ศูนย์วิจัยและศึกษาธรรมชาติป่าพรุสิรินธรเป็นระยะ สอบถามรายละเอียดที่ ตู้ปณ. 37  อำเภอสุไหงโกลก นราธิวาส 96120
ข้อมูลจาก : teawtourthai.com
ป่าพรุสิรินธร
ป่าพรุสิรินธร เป็นส่วนหนึ่งของป่าพรุโต๊ะแดง ป่าพรุแห่งสุดท้ายของประเทศไทย ซึ่งคลุมพื้นที่ของ 3 อำเภอ คือ อำเภอตากใบ อำเภอสุไหงโกลก และอำเภอสุไหงปาดี มีพื้นที่ประมาณ 120,000 ไร่ แต่ส่วนที่สมบูรณ์โดยประมาณมีเพียง 50,000 ไร่ เป็นป่าที่ยังคงความอุดมสมบูรณ์ด้วยสัตว์ป่าและ พรรณไม้ พื้นที่ป่าพรุมีลำน้ำสำคัญหลายสายไหลผ่าน คือ คลองสุไหงปาดี แม่น้ำบางนรา และคลองโต๊ะแดง อันเป็นที่มาของชื่อป่าภายในศูนย์ฯ ได้จัดให้มีทางเดินป่าศึกษาธรรมชาติ เพื่อประชาสัมพันธ์ความรู้ด้านต่างๆ ที่เกี่ยวกับธรรมชาติของป่าพรุ เริ่มที่บึงน้ำด้านหลังอาคารศูนย์วิจัยและศึกษาธรรมชาติป่าพรุสิรินธรเป็นสะพานไม้ต่อลัดเลาะเข้าไปในป่าพรุ ระยะทาง 1,200 เมตร บางช่วงเป็นสะพานไม้ร้อยลวดสลิง บางช่วงเป็นหอสูงสำหรับมองทิวทัศน์เบื้องล่างที่ชอุ่มไปด้วยไม้นานาพรรณในป่าพรุ จะมีป้ายชื่อต้นไม้ที่น่าสนใจ และซุ้มความรู้อยู่เป็นจุดๆ สำหรับให้ความรู้แก่ผู้เดินชมด้วย เปิดทุกวันเวลา 8.00–16.00 น. ไม่เสียค่าเข้าชม และยังมีห้องจัดนิทรรศการให้ความรู้แก่คนที่มาเที่ยวชมอีกด้วย
      ป่าพรุ หรือ peat swamp forest เกิดขึ้นได้อย่างไร ? คำตอบคือ เกิดจากแอ่งน้ำจืดขังติดต่อกันชั่วนาตาปี และมีการสะสมของชั้นดินอินทรียวัตถุ ก็คือซากพืช ซากต้นไม้ ใบไม้ จนย่อยสลายอย่างช้าๆ กลายเป็นดินพีท (peat) หรือดินอินทรีย์ที่มีลักษณะหยุ่นยวบเหมือนฟองน้ำมีความหนาแน่นน้อยอุ้มน้ำได้มาก และพบว่ามีการสะสมระหว่างดินพีท กับดินตะกอนทะเล สลับชั้นกัน 2-3 ชั้น เนื่องจากน้ำทะเลเคยมีระดับสูงขึ้นจนท่วมป่าพรุ เกิดการสะสมของตะกอน น้ำทะเลถูกขังอยู่ด้านใน พันธุ์ไม้ในป่าพรุตายไปและเกิดป่าชายเลนขึ้นแทนที่ เมื่อระดับน้ำทะเลลดลงและมีฝนตกลงมาสะสมน้ำที่ขังอยู่จึงจืดลง และเกิดป่าพรุขึ้นอีกครั้ง ดินพรุชั้นล่างมีอายุถึง 6,000-7,000 ปี ส่วนดินพรุชั้นบนอยู่ระหว่าง 700-1,000 ปี
      ระบบนิเวศน์ในป่าพรุนั้นมีหลากหลาย ทุกชีวิตล้วนเกี่ยวพันต่อเนื่องกัน ไม้ยืนต้นจะมีระบบรากแขนงแข็งแรงแผ่ออกไปเกาะเกี่ยวกันเพื่อจะได้ช่วยพยุงลำต้นของกันและกันให้ทรงตัวอยู่ได้ ฉะนั้นต้นไม้ในป่าพรุจึงอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม หากต้นใดล้ม ต้นอื่นจะล้มตามไปด้วย
      พันธุ์ไม้ที่พบในป่าพรุมีกว่า 400 ชนิด บางอย่างนำมารับประทานได้ เช่น หลุมพี ซึ่งเป็นไม้ในตระกูลปาล์ม มีลักษณะต้นและใบคล้ายปาล์ม แต่มีหนามแหลมอยู่ตลอดก้าน ผลมีลักษณะคล้ายระกำ แต่จะเล็กกว่า รสชาติออกเปรี้ยว ชาวบ้านนำมาดองและส่งขายฝั่งมาเลเซีย ซึ่งคนมาเลย์จะนิยมมาก ฤดูเก็บจะอยู่ในช่วงเดือน พฤศจิกายน-มีนาคม ถ้าเป็นช่วงอื่นจะหายากและราคาสูง บางอย่างเป็นพืชพรรณในเขตมาเลเซีย เช่น หมากแดง ซึ่งมีลำต้นสีแดง เป็นปาล์มชั้นดีมีราคา มีผู้นิยมนำไปเพาะเพื่อประดับสวน เพราะความสวยของกาบและใบ ลำต้นมีสีแดงดังชื่อ ยังมีพืชอีกหลายชนิดที่น่าสนใจ เช่น ปาหนันช้าง พืชในวงศ์กระดังงาที่มีดอกใหญ่และ กล้วยไม้กับพืชเล็กๆ ซึ่งจะต้องสังเกตดีๆ จึงจะได้เห็น
      สัตว์ป่าที่พบกว่า 200 ชนิด เช่น ค่าง ชะมด หมูป่า หมีขอ แมวป่าหัวแบน(ซึ่งเป็นสัตว์คุ้มครองที่หายากอีกชนิดหนึ่งของไทย) หนูสิงคโปร์ พบค่อนข้างยากในคาบสมุทรมลายูแต่ชุกชุมมากบนเกาะสิงคโปร์ สำหรับประเทศไทยพบชุกชุมในป่าพรุโต๊ะแดงนี้เท่านั้น  และหากป่าพรุถูกทำลายหนูเหล่านี้อาจออกไปทำลายผลิตผลของเกษตรกรในพื้นที่โดยรอบได้
      พันธุ์ปลาที่พบ ได้แก่ ปลาปากยื่น เป็นปลาชนิดใหม่ของโลกพบที่ป่าพรุสิรินธรนี้เท่านั้น ปลาดุกรำพัน ที่มีรูปร่างคล้ายงูซึ่งอาจพัฒนาเป็นปลาเศรษฐกิจที่ใช้เลี้ยงในแหล่งที่มีปัญหาน้ำเปรี้ยวได้ ปลากะแมะ รูปร่างประหลาดมีหัวแบนๆกว้างๆ และลำตัวค่อยๆยาวเรียวไปจนถึงหาง มีเงี่ยงพิษอยู่ที่ครีบหลัง  ปลาเหล่านี้จะอาศัยป่าพรุเป็นพื้นที่หลบภัยและวางไข่ก่อนที่จะแพร่ลูกหลานออกไปให้ชาวบ้านได้อาศัยเป็นเครื่องยังชีพ
      นกที่นี่มีหลายชนิด แต่ที่เด่นๆ ได้แก่ นกกางเขนดงหางแดง มีมากในเกาะสุมาตรา เกาะบอร์เนียว และมาเลเซีย ในประเทศไทยพบครั้งแรกที่นี่เมื่อปีพ.ศ. 2530  นกจับแมลงสีฟ้ามาเลเซีย ซึ่งในประเทศไทยจะพบที่ป่าพรุสิรินธรเพียงแห่งเดียวเท่านั้น และปัจจุบันนกทั้งสองชนิดอยู่ในภาวะล่อแหลมต่อการสูญพันธุ์
      ความน่าสนใจของป่าพรุไม่ใช่เพียงแต่ พรรณไม้แปลกๆ สัตว์ป่าหายาก แต่คนที่ไปเที่ยวโดยเฉพาะเด็กๆจะได้ประสบการณ์ชีวิตกลับไปมากมาย จากธรรมชาติรอบตัวบางทีหากเดินชมธรรมชาติเงียบๆอาจจะได้พบสัตว์ป่ากำลังหาอาหารอยู่ก็เป็นได้  เส้นทางนี้นำเราเข้าไปหาธรรมชาติอย่างใกล้ชิดแต่ก็ไม่ได้นำเราเข้าไปล่วงเกินธรรมชาติมากนัก
      หากนำคู่มือดูนก สมุดบันทึก ดินสอสี กล้องส่องตา กล้องถ่ายรูป และยาทากันยุงไปด้วย อาจจะเพลิดเพลินจนใช้เวลาในนี้ได้ทั้งวัน อากาศสดชื่นเย็นสบายในป่าพรุก็ยังทำให้คนที่เข้าไปเยือนรู้สึกสดชื่นประทับใจ  แต่ช่วงเวลาที่มาท่องเที่ยวได้สะดวกคือ กุมภาพันธ์-เมษายน เพราะฝนจะตกน้อยที่สุด เนื่องจากป่าพรุมีภูมิอากาศแบบคาบสมุทร ฉะนั้นจึงมีฝนตกชุกตลอดปี
      สิ่งที่ต้องให้ความระมัดระวังก็คือ ยุงดำ สัตว์กินเลือด พาหะนำโรคเท้าช้าง ซึ่งจะมีอยู่ชุกชุมและออกหาอาหารในช่วงเวลาค่ำ และ ไฟป่า ที่อาจเกิดขึ้นได้จากการสูบบุหรี่ โดยเผลอทิ้งก้นบุหรี่ลงไป เมื่อป่าพรุเกิดไฟป่าแล้วจะดับยากมากกว่าป่าชนิดอื่น เนื่องจากเชื้อเพลิงไม่ได้มีแค่ต้นไม้ในป่า แต่รวมไปถึงซากไม้ และต้นไม้ที่ทับถมกันในชั้นดินพรุ จึงเป็นไฟที่ลุกลามลงไปใต้ดิน ทำให้การควบคุมหรือดับไฟลำบาก ไฟจะคุกรุ่นกินเวลานับเดือนๆ ต้องรอจนกว่าจะมีฝนตกชุก น้ำท่วมผิวดินไฟจึงจะดับสนิท
การเดินทาง
เดินทางโดยรถไฟ  จากกรุงเทพฯจะค่อนข้างสะดวกกว่า เพราะสถานีปลายทางอยู่ที่อำเภอสุไหงโกลก หากมิได้นำรถมาเองสามารถใช้บริการรถรับจ้างจากตัวเมืองสุไหงโกลกได้โดยสะดวก
ทางรถยนต์  จากอำเภอตากใบใช้เส้นทางตากใบ - สุไหงโกลก (ทางหลวงหมายเลข 4057) ประมาณ 5 กิโลเมตร จะมีทางแยกเล็กๆ เข้าสู่ถนนชวนะนันท์ เข้าไปประมาณ 3กิโลเมตร แล้วเลี้ยวซ้ายไปอีก 2 กิโลเมตร มีป้ายบอกทางเข้าสู่ศูนย์วิจัยและศึกษาธรรมชาติป่าพรุสิรินธรเป็นระยะ สอบถามรายละเอียดที่ ตู้ปณ. 37  อำเภอสุไหงโกลก นราธิวาส 96120
ข้อมูลจาก : teawtourthai.com
ป่าพรุสิรินธร
ป่าพรุสิรินธร เป็นส่วนหนึ่งของป่าพรุโต๊ะแดง ป่าพรุแห่งสุดท้ายของประเทศไทย ซึ่งคลุมพื้นที่ของ 3 อำเภอ คือ อำเภอตากใบ อำเภอสุไหงโกลก และอำเภอสุไหงปาดี มีพื้นที่ประมาณ 120,000 ไร่ แต่ส่วนที่สมบูรณ์โดยประมาณมีเพียง 50,000 ไร่ เป็นป่าที่ยังคงความอุดมสมบูรณ์ด้วยสัตว์ป่าและ พรรณไม้ พื้นที่ป่าพรุมีลำน้ำสำคัญหลายสายไหลผ่าน คือ คลองสุไหงปาดี แม่น้ำบางนรา และคลองโต๊ะแดง อันเป็นที่มาของชื่อป่าภายในศูนย์ฯ ได้จัดให้มีทางเดินป่าศึกษาธรรมชาติ เพื่อประชาสัมพันธ์ความรู้ด้านต่างๆ ที่เกี่ยวกับธรรมชาติของป่าพรุ เริ่มที่บึงน้ำด้านหลังอาคารศูนย์วิจัยและศึกษาธรรมชาติป่าพรุสิรินธรเป็นสะพานไม้ต่อลัดเลาะเข้าไปในป่าพรุ ระยะทาง 1,200 เมตร บางช่วงเป็นสะพานไม้ร้อยลวดสลิง บางช่วงเป็นหอสูงสำหรับมองทิวทัศน์เบื้องล่างที่ชอุ่มไปด้วยไม้นานาพรรณในป่าพรุ จะมีป้ายชื่อต้นไม้ที่น่าสนใจ และซุ้มความรู้อยู่เป็นจุดๆ สำหรับให้ความรู้แก่ผู้เดินชมด้วย เปิดทุกวันเวลา 8.00–16.00 น. ไม่เสียค่าเข้าชม และยังมีห้องจัดนิทรรศการให้ความรู้แก่คนที่มาเที่ยวชมอีกด้วย
      ป่าพรุ หรือ peat swamp forest เกิดขึ้นได้อย่างไร ? คำตอบคือ เกิดจากแอ่งน้ำจืดขังติดต่อกันชั่วนาตาปี และมีการสะสมของชั้นดินอินทรียวัตถุ ก็คือซากพืช ซากต้นไม้ ใบไม้ จนย่อยสลายอย่างช้าๆ กลายเป็นดินพีท (peat) หรือดินอินทรีย์ที่มีลักษณะหยุ่นยวบเหมือนฟองน้ำมีความหนาแน่นน้อยอุ้มน้ำได้มาก และพบว่ามีการสะสมระหว่างดินพีท กับดินตะกอนทะเล สลับชั้นกัน 2-3 ชั้น เนื่องจากน้ำทะเลเคยมีระดับสูงขึ้นจนท่วมป่าพรุ เกิดการสะสมของตะกอน น้ำทะเลถูกขังอยู่ด้านใน พันธุ์ไม้ในป่าพรุตายไปและเกิดป่าชายเลนขึ้นแทนที่ เมื่อระดับน้ำทะเลลดลงและมีฝนตกลงมาสะสมน้ำที่ขังอยู่จึงจืดลง และเกิดป่าพรุขึ้นอีกครั้ง ดินพรุชั้นล่างมีอายุถึง 6,000-7,000 ปี ส่วนดินพรุชั้นบนอยู่ระหว่าง 700-1,000 ปี
      ระบบนิเวศน์ในป่าพรุนั้นมีหลากหลาย ทุกชีวิตล้วนเกี่ยวพันต่อเนื่องกัน ไม้ยืนต้นจะมีระบบรากแขนงแข็งแรงแผ่ออกไปเกาะเกี่ยวกันเพื่อจะได้ช่วยพยุงลำต้นของกันและกันให้ทรงตัวอยู่ได้ ฉะนั้นต้นไม้ในป่าพรุจึงอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม หากต้นใดล้ม ต้นอื่นจะล้มตามไปด้วย
      พันธุ์ไม้ที่พบในป่าพรุมีกว่า 400 ชนิด บางอย่างนำมารับประทานได้ เช่น หลุมพี ซึ่งเป็นไม้ในตระกูลปาล์ม มีลักษณะต้นและใบคล้ายปาล์ม แต่มีหนามแหลมอยู่ตลอดก้าน ผลมีลักษณะคล้ายระกำ แต่จะเล็กกว่า รสชาติออกเปรี้ยว ชาวบ้านนำมาดองและส่งขายฝั่งมาเลเซีย ซึ่งคนมาเลย์จะนิยมมาก ฤดูเก็บจะอยู่ในช่วงเดือน พฤศจิกายน-มีนาคม ถ้าเป็นช่วงอื่นจะหายากและราคาสูง บางอย่างเป็นพืชพรรณในเขตมาเลเซีย เช่น หมากแดง ซึ่งมีลำต้นสีแดง เป็นปาล์มชั้นดีมีราคา มีผู้นิยมนำไปเพาะเพื่อประดับสวน เพราะความสวยของกาบและใบ ลำต้นมีสีแดงดังชื่อ ยังมีพืชอีกหลายชนิดที่น่าสนใจ เช่น ปาหนันช้าง พืชในวงศ์กระดังงาที่มีดอกใหญ่และ กล้วยไม้กับพืชเล็กๆ ซึ่งจะต้องสังเกตดีๆ จึงจะได้เห็น
      สัตว์ป่าที่พบกว่า 200 ชนิด เช่น ค่าง ชะมด หมูป่า หมีขอ แมวป่าหัวแบน(ซึ่งเป็นสัตว์คุ้มครองที่หายากอีกชนิดหนึ่งของไทย) หนูสิงคโปร์ พบค่อนข้างยากในคาบสมุทรมลายูแต่ชุกชุมมากบนเกาะสิงคโปร์ สำหรับประเทศไทยพบชุกชุมในป่าพรุโต๊ะแดงนี้เท่านั้น  และหากป่าพรุถูกทำลายหนูเหล่านี้อาจออกไปทำลายผลิตผลของเกษตรกรในพื้นที่โดยรอบได้
      พันธุ์ปลาที่พบ ได้แก่ ปลาปากยื่น เป็นปลาชนิดใหม่ของโลกพบที่ป่าพรุสิรินธรนี้เท่านั้น ปลาดุกรำพัน ที่มีรูปร่างคล้ายงูซึ่งอาจพัฒนาเป็นปลาเศรษฐกิจที่ใช้เลี้ยงในแหล่งที่มีปัญหาน้ำเปรี้ยวได้ ปลากะแมะ รูปร่างประหลาดมีหัวแบนๆกว้างๆ และลำตัวค่อยๆยาวเรียวไปจนถึงหาง มีเงี่ยงพิษอยู่ที่ครีบหลัง  ปลาเหล่านี้จะอาศัยป่าพรุเป็นพื้นที่หลบภัยและวางไข่ก่อนที่จะแพร่ลูกหลานออกไปให้ชาวบ้านได้อาศัยเป็นเครื่องยังชีพ
      นกที่นี่มีหลายชนิด แต่ที่เด่นๆ ได้แก่ นกกางเขนดงหางแดง มีมากในเกาะสุมาตรา เกาะบอร์เนียว และมาเลเซีย ในประเทศไทยพบครั้งแรกที่นี่เมื่อปีพ.ศ. 2530  นกจับแมลงสีฟ้ามาเลเซีย ซึ่งในประเทศไทยจะพบที่ป่าพรุสิรินธรเพียงแห่งเดียวเท่านั้น และปัจจุบันนกทั้งสองชนิดอยู่ในภาวะล่อแหลมต่อการสูญพันธุ์
      ความน่าสนใจของป่าพรุไม่ใช่เพียงแต่ พรรณไม้แปลกๆ สัตว์ป่าหายาก แต่คนที่ไปเที่ยวโดยเฉพาะเด็กๆจะได้ประสบการณ์ชีวิตกลับไปมากมาย จากธรรมชาติรอบตัวบางทีหากเดินชมธรรมชาติเงียบๆอาจจะได้พบสัตว์ป่ากำลังหาอาหารอยู่ก็เป็นได้  เส้นทางนี้นำเราเข้าไปหาธรรมชาติอย่างใกล้ชิดแต่ก็ไม่ได้นำเราเข้าไปล่วงเกินธรรมชาติมากนัก
      หากนำคู่มือดูนก สมุดบันทึก ดินสอสี กล้องส่องตา กล้องถ่ายรูป และยาทากันยุงไปด้วย อาจจะเพลิดเพลินจนใช้เวลาในนี้ได้ทั้งวัน อากาศสดชื่นเย็นสบายในป่าพรุก็ยังทำให้คนที่เข้าไปเยือนรู้สึกสดชื่นประทับใจ  แต่ช่วงเวลาที่มาท่องเที่ยวได้สะดวกคือ กุมภาพันธ์-เมษายน เพราะฝนจะตกน้อยที่สุด เนื่องจากป่าพรุมีภูมิอากาศแบบคาบสมุทร ฉะนั้นจึงมีฝนตกชุกตลอดปี
      สิ่งที่ต้องให้ความระมัดระวังก็คือ ยุงดำ สัตว์กินเลือด พาหะนำโรคเท้าช้าง ซึ่งจะมีอยู่ชุกชุมและออกหาอาหารในช่วงเวลาค่ำ และ ไฟป่า ที่อาจเกิดขึ้นได้จากการสูบบุหรี่ โดยเผลอทิ้งก้นบุหรี่ลงไป เมื่อป่าพรุเกิดไฟป่าแล้วจะดับยากมากกว่าป่าชนิดอื่น เนื่องจากเชื้อเพลิงไม่ได้มีแค่ต้นไม้ในป่า แต่รวมไปถึงซากไม้ และต้นไม้ที่ทับถมกันในชั้นดินพรุ จึงเป็นไฟที่ลุกลามลงไปใต้ดิน ทำให้การควบคุมหรือดับไฟลำบาก ไฟจะคุกรุ่นกินเวลานับเดือนๆ ต้องรอจนกว่าจะมีฝนตกชุก น้ำท่วมผิวดินไฟจึงจะดับสนิท
การเดินทาง
เดินทางโดยรถไฟ  จากกรุงเทพฯจะค่อนข้างสะดวกกว่า เพราะสถานีปลายทางอยู่ที่อำเภอสุไหงโกลก หากมิได้นำรถมาเองสามารถใช้บริการรถรับจ้างจากตัวเมืองสุไหงโกลกได้โดยสะดวก
ทางรถยนต์  จากอำเภอตากใบใช้เส้นทางตากใบ - สุไหงโกลก (ทางหลวงหมายเลข 4057) ประมาณ 5 กิโลเมตร จะมีทางแยกเล็กๆ เข้าสู่ถนนชวนะนันท์ เข้าไปประมาณ 3กิโลเมตร แล้วเลี้ยวซ้ายไปอีก 2 กิโลเมตร มีป้ายบอกทางเข้าสู่ศูนย์วิจัยและศึกษาธรรมชาติป่าพรุสิรินธรเป็นระยะ สอบถามรายละเอียดที่ ตู้ปณ. 37  อำเภอสุไหงโกลก นราธิวาส 96120
ข้อมูลจาก : teawtourthai.com
ป่าพรุสิรินธร
ป่าพรุสิรินธร เป็นส่วนหนึ่งของป่าพรุโต๊ะแดง ป่าพรุแห่งสุดท้ายของประเทศไทย ซึ่งคลุมพื้นที่ของ 3 อำเภอ คือ อำเภอตากใบ อำเภอสุไหงโกลก และอำเภอสุไหงปาดี มีพื้นที่ประมาณ 120,000 ไร่ แต่ส่วนที่สมบูรณ์โดยประมาณมีเพียง 50,000 ไร่ เป็นป่าที่ยังคงความอุดมสมบูรณ์ด้วยสัตว์ป่าและ พรรณไม้ พื้นที่ป่าพรุมีลำน้ำสำคัญหลายสายไหลผ่าน คือ คลองสุไหงปาดี แม่น้ำบางนรา และคลองโต๊ะแดง อันเป็นที่มาของชื่อป่าภายในศูนย์ฯ ได้จัดให้มีทางเดินป่าศึกษาธรรมชาติ เพื่อประชาสัมพันธ์ความรู้ด้านต่างๆ ที่เกี่ยวกับธรรมชาติของป่าพรุ เริ่มที่บึงน้ำด้านหลังอาคารศูนย์วิจัยและศึกษาธรรมชาติป่าพรุสิรินธรเป็นสะพานไม้ต่อลัดเลาะเข้าไปในป่าพรุ ระยะทาง 1,200 เมตร บางช่วงเป็นสะพานไม้ร้อยลวดสลิง บางช่วงเป็นหอสูงสำหรับมองทิวทัศน์เบื้องล่างที่ชอุ่มไปด้วยไม้นานาพรรณในป่าพรุ จะมีป้ายชื่อต้นไม้ที่น่าสนใจ และซุ้มความรู้อยู่เป็นจุดๆ สำหรับให้ความรู้แก่ผู้เดินชมด้วย เปิดทุกวันเวลา 8.00–16.00 น. ไม่เสียค่าเข้าชม และยังมีห้องจัดนิทรรศการให้ความรู้แก่คนที่มาเที่ยวชมอีกด้วย
      ป่าพรุ หรือ peat swamp forest เกิดขึ้นได้อย่างไร ? คำตอบคือ เกิดจากแอ่งน้ำจืดขังติดต่อกันชั่วนาตาปี และมีการสะสมของชั้นดินอินทรียวัตถุ ก็คือซากพืช ซากต้นไม้ ใบไม้ จนย่อยสลายอย่างช้าๆ กลายเป็นดินพีท (peat) หรือดินอินทรีย์ที่มีลักษณะหยุ่นยวบเหมือนฟองน้ำมีความหนาแน่นน้อยอุ้มน้ำได้มาก และพบว่ามีการสะสมระหว่างดินพีท กับดินตะกอนทะเล สลับชั้นกัน 2-3 ชั้น เนื่องจากน้ำทะเลเคยมีระดับสูงขึ้นจนท่วมป่าพรุ เกิดการสะสมของตะกอน น้ำทะเลถูกขังอยู่ด้านใน พันธุ์ไม้ในป่าพรุตายไปและเกิดป่าชายเลนขึ้นแทนที่ เมื่อระดับน้ำทะเลลดลงและมีฝนตกลงมาสะสมน้ำที่ขังอยู่จึงจืดลง และเกิดป่าพรุขึ้นอีกครั้ง ดินพรุชั้นล่างมีอายุถึง 6,000-7,000 ปี ส่วนดินพรุชั้นบนอยู่ระหว่าง 700-1,000 ปี
      ระบบนิเวศน์ในป่าพรุนั้นมีหลากหลาย ทุกชีวิตล้วนเกี่ยวพันต่อเนื่องกัน ไม้ยืนต้นจะมีระบบรากแขนงแข็งแรงแผ่ออกไปเกาะเกี่ยวกันเพื่อจะได้ช่วยพยุงลำต้นของกันและกันให้ทรงตัวอยู่ได้ ฉะนั้นต้นไม้ในป่าพรุจึงอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม หากต้นใดล้ม ต้นอื่นจะล้มตามไปด้วย
      พันธุ์ไม้ที่พบในป่าพรุมีกว่า 400 ชนิด บางอย่างนำมารับประทานได้ เช่น หลุมพี ซึ่งเป็นไม้ในตระกูลปาล์ม มีลักษณะต้นและใบคล้ายปาล์ม แต่มีหนามแหลมอยู่ตลอดก้าน ผลมีลักษณะคล้ายระกำ แต่จะเล็กกว่า รสชาติออกเปรี้ยว ชาวบ้านนำมาดองและส่งขายฝั่งมาเลเซีย ซึ่งคนมาเลย์จะนิยมมาก ฤดูเก็บจะอยู่ในช่วงเดือน พฤศจิกายน-มีนาคม ถ้าเป็นช่วงอื่นจะหายากและราคาสูง บางอย่างเป็นพืชพรรณในเขตมาเลเซีย เช่น หมากแดง ซึ่งมีลำต้นสีแดง เป็นปาล์มชั้นดีมีราคา มีผู้นิยมนำไปเพาะเพื่อประดับสวน เพราะความสวยของกาบและใบ ลำต้นมีสีแดงดังชื่อ ยังมีพืชอีกหลายชนิดที่น่าสนใจ เช่น ปาหนันช้าง พืชในวงศ์กระดังงาที่มีดอกใหญ่และ กล้วยไม้กับพืชเล็กๆ ซึ่งจะต้องสังเกตดีๆ จึงจะได้เห็น
      สัตว์ป่าที่พบกว่า 200 ชนิด เช่น ค่าง ชะมด หมูป่า หมีขอ แมวป่าหัวแบน(ซึ่งเป็นสัตว์คุ้มครองที่หายากอีกชนิดหนึ่งของไทย) หนูสิงคโปร์ พบค่อนข้างยากในคาบสมุทรมลายูแต่ชุกชุมมากบนเกาะสิงคโปร์ สำหรับประเทศไทยพบชุกชุมในป่าพรุโต๊ะแดงนี้เท่านั้น  และหากป่าพรุถูกทำลายหนูเหล่านี้อาจออกไปทำลายผลิตผลของเกษตรกรในพื้นที่โดยรอบได้
      พันธุ์ปลาที่พบ ได้แก่ ปลาปากยื่น เป็นปลาชนิดใหม่ของโลกพบที่ป่าพรุสิรินธรนี้เท่านั้น ปลาดุกรำพัน ที่มีรูปร่างคล้ายงูซึ่งอาจพัฒนาเป็นปลาเศรษฐกิจที่ใช้เลี้ยงในแหล่งที่มีปัญหาน้ำเปรี้ยวได้ ปลากะแมะ รูปร่างประหลาดมีหัวแบนๆกว้างๆ และลำตัวค่อยๆยาวเรียวไปจนถึงหาง มีเงี่ยงพิษอยู่ที่ครีบหลัง  ปลาเหล่านี้จะอาศัยป่าพรุเป็นพื้นที่หลบภัยและวางไข่ก่อนที่จะแพร่ลูกหลานออกไปให้ชาวบ้านได้อาศัยเป็นเครื่องยังชีพ
      นกที่นี่มีหลายชนิด แต่ที่เด่นๆ ได้แก่ นกกางเขนดงหางแดง มีมากในเกาะสุมาตรา เกาะบอร์เนียว และมาเลเซีย ในประเทศไทยพบครั้งแรกที่นี่เมื่อปีพ.ศ. 2530  นกจับแมลงสีฟ้ามาเลเซีย ซึ่งในประเทศไทยจะพบที่ป่าพรุสิรินธรเพียงแห่งเดียวเท่านั้น และปัจจุบันนกทั้งสองชนิดอยู่ในภาวะล่อแหลมต่อการสูญพันธุ์
      ความน่าสนใจของป่าพรุไม่ใช่เพียงแต่ พรรณไม้แปลกๆ สัตว์ป่าหายาก แต่คนที่ไปเที่ยวโดยเฉพาะเด็กๆจะได้ประสบการณ์ชีวิตกลับไปมากมาย จากธรรมชาติรอบตัวบางทีหากเดินชมธรรมชาติเงียบๆอาจจะได้พบสัตว์ป่ากำลังหาอาหารอยู่ก็เป็นได้  เส้นทางนี้นำเราเข้าไปหาธรรมชาติอย่างใกล้ชิดแต่ก็ไม่ได้นำเราเข้าไปล่วงเกินธรรมชาติมากนัก
      หากนำคู่มือดูนก สมุดบันทึก ดินสอสี กล้องส่องตา กล้องถ่ายรูป และยาทากันยุงไปด้วย อาจจะเพลิดเพลินจนใช้เวลาในนี้ได้ทั้งวัน อากาศสดชื่นเย็นสบายในป่าพรุก็ยังทำให้คนที่เข้าไปเยือนรู้สึกสดชื่นประทับใจ  แต่ช่วงเวลาที่มาท่องเที่ยวได้สะดวกคือ กุมภาพันธ์-เมษายน เพราะฝนจะตกน้อยที่สุด เนื่องจากป่าพรุมีภูมิอากาศแบบคาบสมุทร ฉะนั้นจึงมีฝนตกชุกตลอดปี
      สิ่งที่ต้องให้ความระมัดระวังก็คือ ยุงดำ สัตว์กินเลือด พาหะนำโรคเท้าช้าง ซึ่งจะมีอยู่ชุกชุมและออกหาอาหารในช่วงเวลาค่ำ และ ไฟป่า ที่อาจเกิดขึ้นได้จากการสูบบุหรี่ โดยเผลอทิ้งก้นบุหรี่ลงไป เมื่อป่าพรุเกิดไฟป่าแล้วจะดับยากมากกว่าป่าชนิดอื่น เนื่องจากเชื้อเพลิงไม่ได้มีแค่ต้นไม้ในป่า แต่รวมไปถึงซากไม้ และต้นไม้ที่ทับถมกันในชั้นดินพรุ จึงเป็นไฟที่ลุกลามลงไปใต้ดิน ทำให้การควบคุมหรือดับไฟลำบาก ไฟจะคุกรุ่นกินเวลานับเดือนๆ ต้องรอจนกว่าจะมีฝนตกชุก น้ำท่วมผิวดินไฟจึงจะดับสนิท
การเดินทาง
เดินทางโดยรถไฟ  จากกรุงเทพฯจะค่อนข้างสะดวกกว่า เพราะสถานีปลายทางอยู่ที่อำเภอสุไหงโกลก หากมิได้นำรถมาเองสามารถใช้บริการรถรับจ้างจากตัวเมืองสุไหงโกลกได้โดยสะดวก
ทางรถยนต์  จากอำเภอตากใบใช้เส้นทางตากใบ - สุไหงโกลก (ทางหลวงหมายเลข 4057) ประมาณ 5 กิโลเมตร จะมีทางแยกเล็กๆ เข้าสู่ถนนชวนะนันท์ เข้าไปประมาณ 3กิโลเมตร แล้วเลี้ยวซ้ายไปอีก 2 กิโลเมตร มีป้ายบอกทางเข้าสู่ศูนย์วิจัยและศึกษาธรรมชาติป่าพรุสิรินธรเป็นระยะ สอบถามรายละเอียดที่ ตู้ปณ. 37  อำเภอสุไหงโกลก นราธิวาส 96120
ข้อมูลจาก : teawtourthai.com

 
Keroro © 2012 | Designed by Meingames and Bubble shooter